Header

โรคหัวใจ

29 สิงหาคม 2567

blank โรงพยาบาลพิษณุเวช

โรคหัวใจ

ทำความรู้จักกับโรคหัวใจ

โรคหัวใจถือเป็นโรคร้ายที่น่ากลัวมากอีกโรคหนึ่ง เป็นปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรง และเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของคนทั่วโลก รวมถึงคนไทยด้วย นอกจากนี้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกกลุ่มวัย โรคหัวใจเป็นภัยร้ายที่สามารถทำลายชีวิตและความสุขของผู้คนได้อย่างง่ายดาย การตระหนักถึงความรุนแรงของโรค สาเหตุ อาการ และวิธีการป้องกันโรคหัวใจเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราสามารถดูแลสุขภาพหัวใจของตนเองและคนที่เรารักได้ดีขึ้น

โรคหัวใจคืออะไร ?

โรคหัวใจ หมายถึง กลุ่มของโรคที่มีผลกระทบต่อการทำงานของหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งมีหลากหลายชนิด ทางการแพทย์จึงได้จำแนกโรคหัวใจตามพยาธิสภาพ หรือต้นเหตุของการเกิดความผิดปกติของหัวใจออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ซึ่งแต่ละประเภทของโรคหัวใจก็มีลักษณะและอาการที่แตกต่างกัน แต่ทุกประเภทล้วนมีผลกระทบต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย

ประเภทของโรคหัวใจ

โรคหัวใจสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภท ดังนี้

  • โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด อาจวินิจฉัยได้ตั้งแต่แรกเกิด หรืออาจไม่มีอาการใด ๆ มาเจอตอนอายุมากแล้วก็เป็นได้
  • โรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ เช่น กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบจากการติดเชื้อ
  • โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ส่วนใหญ่เกิดจากไขมันและเนื้อเยื่อสะสมในผนังของหลอดเลือด ทำให้เยื่อบุผนังหลอดเลือดหนาตัวขึ้น ทำให้หลอดเลือดมีการตีบแคบลง เลือดซึ่งนำออกซิเจนไหลผ่านได้น้อยลง ส่งผลให้เลือดไหลไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้ไม่เพียงพอ จนเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ปัจจัยเสี่ยงที่พบบ่อย เช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน สูบบุหรี่ ขาดการออกกำลังกาย
  • โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ เกิดจากการมีจุด หรือ ตำแหน่งในหัวใจ เกิดกระแสไฟฟ้าผิดปกติ หรือมีการลัดวงจรของไฟหัวในหัวใจ ซึ่งจะมีผลต่อการหมุนเวียนเลือดบริเวณที่เกิดกระแลไฟฟ้าผิดปกติ
  • โรคหัวใจล้มเหลว เป็นกลุ่มอาการที่มีสาเหตุจากความผิดปกติของการทำงานของหัวใจ โดยอาจเกิดจากมีความผิดปกติของโครงสร้างหรือการทำหน้าที่ของหัวใจ ส่งผลให้หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายหรือรับเลือดกลับเข้าสู่หัวใจได้ตามปกติ ซึ่งอาการจะมีทั้งแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง ภาวะหัวใจล้มเหลว

สาเหตุของโรคหัวใจ

จากรายงานของสมาพันธ์หัวใจโลก พบว่าอัตราการเกิดโรคและสถิติการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือด จริง ๆ เกิดจากปัจจัยเสี่ยงที่เราป้องกันและควบคุมได้ โดยปัจจัยเสี่ยงหลัก ๆ ก็คือ

1. ภาวะหลอดเลือดตีบ

ภาวะหลอดเลือดตีบเกิดจากการสะสมของไขมันและคราบพลัค (Plaque) ในหลอดเลือดหัวใจ ทำให้การไหลของเลือดไปยังหัวใจลดลง ส่งผลให้หัวใจได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ และอาจเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด

2. ความดันโลหิตสูง

ความดันโลหิตสูง เป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับหนึ่งของโรคหัวใจและหลอดเลือดที่ถือว่าเป็นภัยเงียบ เพราะไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า คนส่วนใหญ่จึงไม่ตระหนัก ความดันโลหิตสูงทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้นในการสูบฉีดเลือด ส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจหนาตัวและอ่อนแรงลง การปล่อยให้ความดันโลหิตสูงเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดโรคหัวใจล้มเหลวและภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบได้

3. โรคเบาหวาน

โรคเบาหวานทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งสามารถทำลายหลอดเลือดและเส้นประสาทในหัวใจ เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ

4. การสูบบุหรี่

สารนิโคตินในบุหรี่ เป็นสารที่ทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น เพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ โดยการสูบบุหรี่จะเพิ่มอัตราการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบมากขึ้นเมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ รวมถึงคนที่สูดควันบุหรี่ก็มีอัตราเสี่ยงเพิ่มขึ้น ยิ่งสูบในปริมาณที่มากขึ้น ความเสี่ยงก็จะเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน นอกจากนี้การสูบบุหรี่ทำให้เกิดการสะสมของคราบพลัคในหลอดเลือด และเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบและโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะอีกด้วย

5. การดื่มแอลกอฮอล์

การดื่มแอลกอฮอล์มาก ๆ เป็นการเพิ่มปริมาณไตรกลีเซอไรด์และอาจทำให้กล้ามเนื้อหัวใจถูกทำลายได้

6. ความอ้วน

การมีน้ำหนักที่มากขึ้น ทำให้ร่างกายต้องทำงานหนักขึ้น และยังเสี่ยงต่อการมีคอเลสเตอรอลเกินมาตรฐาน ส่งผลให้มีไขมันสะสมในหลอดเลือดง่ายขึ้น

7. การเคลื่อนไหวร่างกายน้อยหรือไม่ออกกำลังกาย

พฤติกรรมนั่งติดโต๊ะหรือไม่ค่อยขยับร่างกาย เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคหัวใจได้ รวมถึงในคนที่ไม่ออกกำลังกายเป็นประจำด้วย

8. ความเครียด

ความเครียดสามารถกระตุ้นให้เกิดอาการหัวใจวายได้

อย่างไรก็ตาม โรคหัวใจและหลอดเลือด อาจเกิดจากกรรมพันธุ์ ความชรา ความพิการแต่กำเนิด ได้เช่นกัน

 

อาการของโรคหัวใจ

1. อาการเจ็บหน้าอก ซึ่งมีหลายแบบ เช่น

  • เจ็บแบบบีบเค้น แน่นหน้าอกเหมือนมีของหนักกดทับ
  • เจ็บหน้าอกร้าวไปกราม ขากรรไกร คอ แขน ไหล่ หลัง
  • เจ็บหน้าอกร่วมกับเหงื่อออก ตัวเย็น ใจสั่น
  • เจ็บหน้าอกนานกว่า 20 นาที

2. หายใจลำบาก

ผู้ป่วยโรคหัวใจมักมีอาการหายใจลำบาก เนื่องจากหัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ร่างกายได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ

3. อ่อนเพลียและเหนื่อยง่าย

ผู้ป่วยโรคหัวใจมักรู้สึกอ่อนเพลียและเหนื่อยง่าย เนื่องจากหัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้เพียงพอ

4. หัวใจเต้นผิดจังหวะ

การเต้นผิดจังหวะของหัวใจสามารถทำให้ผู้ป่วยรู้สึกใจสั่น หน้ามืด หรือหมดสติได้

5. บวมที่ขาและข้อเท้า

อาการบวมที่ขาและข้อเท้าเป็นผลมาจากการสะสมของของเหลวในร่างกาย เนื่องจากหัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดกลับไปยังหัวใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

การวินิจฉัยโรคหัวใจ

1. การตรวจร่างกายทั่วไป

การตรวจร่างกาย เพื่อดูน้ำหนัก ส่วนสูง ความอ้วน การจับชีพจรดูอัตราและความสม่ำเสมอของการเต้นของหัวใจ ความดันโลหิต ฟังเสียงหัวใจว่ามีเสียงผิดปกติหรือไม่ เช่น เสียงสาม เสียงสี่ หรือ เสียงฟู่ นอกจากนั้นแล้วแพทย์จะตรวจร่างกายระบบอื่นด้วย เพื่อดูว่ามีภาวะหัวใจล้มเหลวหรือไม่ และ ดูโรคอื่น ๆ ที่อาจพบร่วมด้วย

2. การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG)

การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจสามารถช่วยวินิจฉัยการเต้นผิดจังหวะของหัวใจ และการขาดเลือดไปยังกล้ามเนื้อหัวใจ

3. การตรวจเอ็กซเรย์ทรวงอก

การตรวจเอ็กซเรย์ทรวงอกสามารถช่วยตรวจหาความผิดปกติของหัวใจและหลอดเลือด เช่น ขนาดของหัวใจ การสะสมของของเหลวในปอด

4. การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง (Echocardiogram)

การตรวจหลอดเลือดหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนสามารถช่วยตรวจหาความผิดปกติของกล้ามเนื้อหัวใจและการทำงานของลิ้นหัวใจ

5. การตรวจสมรรถภาพหัวใจขณะออกกำลังกาย (Exercise Stress Test)

การออกกำลังกายหัวใจจะเต้นเร็วขึ้นและจำเป็นต้องได้รับได้รับเลือดมาเลี้ยงมากขึ้นด้วย หากมีหลอดเลือดหัวใจตีบ เลือดจะไม่สามารถไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้เพียงพอ จะเกิดอาการแน่นหน้าอก และมีการเปลี่ยนแปลงของคลื่นไฟฟ้าหัวใจให้เห็น การทดสอบนี้ยังช่วยบอกแพทย์ได้ว่าผู้ป่วยเหนื่อยง่ายกว่าคนปกติหรือไม่ และใช้ในการติดตามผู้ป่วยภายหลังได้รับการรักษา ไม่ว่าจะด้วยยา การขยายหลอดเลือด หรือการผ่าตัด

6. การตรวจหัวใจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI)

การตรวจหัวใจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าสามารถช่วยตรวจหาความผิดปกติของหลอดเลือดหัวใจ กล้ามเนื้อหัวใจ ลิ้นหัวใจ

7. การบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจ 24-48 ช.ม.

การตรวจวิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่อาจจะมีปัญหาใจสั่นผิดปกติเป็นครั้งคราว หน้ามืดคล้ายจะเป็นลมอยู่เสมอ เวียนศีรษะ ใจเต้นแรงผิดปกติเป็นประจำ แต่ในขณะมาพบแพบแพทย์อาการดังกล่าวไม่ปรากฎ ผลตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจปกติ ณ เวลาที่ไม่มีอาการ ทำให้ไม่ทราบว่าอาการใจสั่นเกิดจากหัวใจเต้นผิดจังหวะหรือไม่

8. การตรวจสวนหัวใจหรือการฉีดสี

สามารถตรวจว่ามีการตีบแคบหรือตันของหลอดเลือดหรือไม่ เป็นบริเวณใดของหลอดเลือด เป็นมากหรือน้อย

9. การตรวจทางสรีรวิทยาไฟฟ้าหัวใจ

เป็นการตรวจประเมินสัญญาณไฟฟ้าและทางเดินไฟฟ้าหัวใจ เพื่อช่วยในการวินิจฉัยหาสาเหตุหัวใจเต้นผิดปกติ หาตำแหน่งในหัวใจที่เป็นจุดกำเนิดคลื่นไฟฟ้าที่ผิดปกติ และเป็นวิธีรักษาหัวใจเต้นผิดปกติที่มีประสิทธิภาพสูง

 

การรักษาโรคหัวใจ

1. การใช้ยา

การใช้ยาสามารถช่วยลดอาการและป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรคหัวใจ ยาที่ใช้ในการรักษาโรคหัวใจ ได้แก่ ยาลดความดันโลหิต ยาลดไขมันในเลือด ยาขยายหลอดเลือด และยาละลายลิ่มเลือด

2. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ลดน้ำหนัก เลิกสูบบุหรี่ และลดการบริโภคแอลกอฮอล์ สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและภาวะแทรกซ้อนได้

3. การผ่าตัด

ในบางกรณีอาจจำเป็นต้องรักษาโดยการผ่าตัด ได้แก่ การผ่าตัดขยายหลอดเลือดหัวใจ การผ่าตัดลิ้นหัวใจ การผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ เป็นต้น

4. การใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ

เป็นการรักษาภาวะหัวใจแต้นผิดปกติ

 

การป้องกันโรคหัวใจ

1. การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์

การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผักผลไม้สด ธัญพืชไม่ขัดสี ปลา และถั่ว สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจได้ การลดการบริโภคไขมันอิ่มตัว น้ำตาล และเกลือก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน

2. การออกกำลังกายสม่ำเสมอ

การออกกำลังกายสม่ำเสมอช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของหัวใจและหลอดเลือด การออกกำลังกายที่แนะนำ ได้แก่ การเดินเร็ว ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน โยคะ เป็นต้น

3. การควบคุมน้ำหนัก

การควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจได้ การรับประทานอาหารที่มีแคลอรีต่ำและการออกกำลังกายเป็นประจำเป็นวิธีที่ดีในการควบคุมน้ำหนัก

4. การเลิกสูบบุหรี่

การเลิกสูบบุหรี่สามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ได้

5. การลดการบริโภคแอลกอฮอล์

การลดการบริโภคแอลกอฮอล์ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ

 

คลิกขอคำปรึกษา

สรุป

โรคหัวใจเป็นโรคอันตรายที่มีผลกระทบต่อชีวิตและสุขภาพของผู้คนทั่วโลก การตระหนักถึงสาเหตุ อาการ และวิธีการป้องกันโรคหัวใจเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราสามารถดูแลสุขภาพหัวใจของตนเองและคนที่เรารักได้ดีขึ้น การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกายสม่ำเสมอ การควบคุมน้ำหนัก การเลิกสูบบุหรี่ และการลดการบริโภคแอลกอฮอล์เป็นวิธีที่ดีในการป้องกันโรคหัวใจและเสริมสร้างสุขภาพที่ดีในระยะยาว

 



ศูนย์การรักษาที่เกี่ยวข้อง

วิสัญญีแพทย์

สถานที่

เวลาทำการ

เบอร์ติดต่อ

แพทย์แนะนำ

ศูนย์ศัลยกรรมทั่วไป

พญ.กิติยา จันทรวิถี

พญ.กิติยา จันทรวิถี

ศูนย์ศัลยกรรมทั่วไป

อายุรแพทย์โรคหัวใจและหลอดเลือด

นพ. ลิขิต กำธรวิจิตรกุล

ศัลยเเพทย์ออร์ปิดิกส์

บทความที่เกี่ยวข้อง

การตรวจโรคหัวใจ

โรคหัวใจ หมายถึง โรคต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของหัวใจ โดยโรคหัวใจสามารถแบ่งย่อยได้เป็นหลายกลุ่มโรค เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคกล้ามเนื้อหัวใจ โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคลิ้นหัวใจ โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด และโรคติดเชื้อบริเวณหัวใจ เป็นต้น

การตรวจโรคหัวใจ

โรคหัวใจ หมายถึง โรคต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของหัวใจ โดยโรคหัวใจสามารถแบ่งย่อยได้เป็นหลายกลุ่มโรค เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคกล้ามเนื้อหัวใจ โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคลิ้นหัวใจ โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด และโรคติดเชื้อบริเวณหัวใจ เป็นต้น

การฉีดสีหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Angiogram หรือ CAG)

การฉีดสีหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Angiogram หรือ CAG) บางทีเรียก “การฉีดสี” เป็นการสอดสายสวนผ่านหลอดเลือดแดงแล้วฉีดสารทึบรังสีเพื่อตรวจวินิจฉัยการอุดตันและการตีบตันของหลอดเลือดหัวใจ หากพบความผิดปกติสามารถทำการรักษาต่อด้วยการทำบอลลูนและใส่ขดลวด

blank ดร.นพ. กิติกร วิชัยเรืองธรรม

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
การฉีดสีหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Angiogram หรือ CAG)

การฉีดสีหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Angiogram หรือ CAG) บางทีเรียก “การฉีดสี” เป็นการสอดสายสวนผ่านหลอดเลือดแดงแล้วฉีดสารทึบรังสีเพื่อตรวจวินิจฉัยการอุดตันและการตีบตันของหลอดเลือดหัวใจ หากพบความผิดปกติสามารถทำการรักษาต่อด้วยการทำบอลลูนและใส่ขดลวด

blank ดร.นพ. กิติกร วิชัยเรืองธรรม

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ (Permanent Pacemaker) ตัวช่วยรักษาหัวใจ

การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ (Permanent Pacemaker) เป็นหัตถการทางการแพทย์เพื่อฝังอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เข้าไปในผนังหน้าอกใต้ผิวหนังเพื่อกระตุ้นจังหวะการเต้นของหัวใจ ช่วยแก้ไขจังหวะการเต้นของหัวใจที่เต้นช้าหรือการเต้นไม่สม่ำเสมอ โดยจะส่งสัญญาณไฟฟ้าไปยังหัวใจห้องที่ทำงานผิดปกติ เพื่อช่วยให้หัวใจเต้นเร็วพอที่จะสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายได้อย่างเพียงพอ

blank โรงพยาบาลพิษณุเวช

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ (Permanent Pacemaker) ตัวช่วยรักษาหัวใจ

การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ (Permanent Pacemaker) เป็นหัตถการทางการแพทย์เพื่อฝังอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เข้าไปในผนังหน้าอกใต้ผิวหนังเพื่อกระตุ้นจังหวะการเต้นของหัวใจ ช่วยแก้ไขจังหวะการเต้นของหัวใจที่เต้นช้าหรือการเต้นไม่สม่ำเสมอ โดยจะส่งสัญญาณไฟฟ้าไปยังหัวใจห้องที่ทำงานผิดปกติ เพื่อช่วยให้หัวใจเต้นเร็วพอที่จะสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายได้อย่างเพียงพอ

blank โรงพยาบาลพิษณุเวช

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม