หัวใจ ทำไมต้องฟื้นฟู
การฟื้นฟูสมรรถภาพหัวใจ (Cardiac Rehabilitation)
การฟื้นฟูสมรรถภาพหัวใจคืออะไร ?
การฟื้นฟูสมรรถภาพหัวใจ คือ วิธีการใด ๆ ก็ตามที่ผู้ป่วยโรคหัวใจปฏิบัติตามแล้วทำให้หัวใจแข็งแรงขึ้น มีประสิทธิภาพในการทำงานหรือใช้ชีวิตที่ดีขึ้น ประกอบไปด้วย การรับประทานอาหารที่ถูกหลัก การจัดการด้านอารมณ์ ลดความเครียด และ การออกกำลังกายที่เหมาะสม (ตามหลัก 3 อ)
ผู้ใดควรทำการฟื้นฟูสมรรถภาพหัวใจ
- ผู้ที่ควรได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพหัวใจ เพื่อให้หัวใจแข็งแรงขึ้น มีประสิทธิภาพในการทำงานหรือใช้ชีวิตที่ดีขึ้น เช่น
- ผู้ป่วยกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หรือผู้ป่วยที่ได้รับการขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูน (PCI)
- ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ (CABG)
- ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ (Valvular Replacement)
ผู้ป่วยโรคหัวใจควรออกกำลังกายอย่างไร ?
การออกกำลังกายมีความสำคัญต่อผู้ป่วยโรคหัวใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการออกกำลังกายที่ถูกต้องและเหมาะสม จะทำให้หัวใจแข็งแรงยิ่งขึ้น แต่ถ้าหากการออกกำลังกายนั้นไม่เหมาะสม หรือมากเกินไป อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อหัวใจ
ฉะนั้น การออกกำลังกายที่ดีและเหมาะสมที่สุด ควรจะได้รับคำแนะนำและการตรวจประเมินจากทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการฟื้นฟูสมรรถภาพหัวใจ เพื่อจัดโปรแกรมการออกกำลังกายที่เหมาะสมให้แต่ละบุคคล (Individual Program)
คำแนะนำและข้อควรระวังในออกกำลังกายสำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจ
- ไม่ควรยกของหนักเกิน 5 กิโลกรัม ภายใน 1 เดือนแรก
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องออกแรงผลัก ดัน ดึง หรือมีการกระชาก
- ไม่ควรกลั้นหายใจ เบ่งถ่าย หรือเบ่งปัสสาวะ
- การขับรถ ควรได้รับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อน
- ควรเลิกสูบบุหรี่ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- ควรทานยาตามแพทย์สั่งเป็นประจำ และไม่ควรหยุดหรือปรับขนาดยาเอง
- บริหารร่างกาย ฝึกหายใจ และออกกำลังกาย ให้สม่ำเสมอ ตามคำแนะนำจากแพทย์หรือนักกายภาพบำบัด
- ควรเรียนรู้การจับชีพจรด้วยตนเอง สังเกตอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นและลงบันทึกเพื่อติดตามอาการ
- การมีเพศสัมพันธ์ ทำได้เมื่อท่านสามารถเดินขึ้นบันได้ได้ 2 ชั้น ต่อเนื่อง เมื่อท่านจะกลับไปมีเพศสัมพันธ์ ควรเลือกท่าที่ท่าน (ผู้ป่วย) เป็นฝ่ายถูกกระทำมากที่สุด หลีกเลี่ยงท่าที่ทำให้ท่านรู้สึกอึดอัด หรือหายใจไม่ออก
- มั่นใจว่าอากาศรอบ ๆ เย็นสบาย
- หลีกเลี่ยงเพศสัมพันธ์ในลักษณะที่เหน็ดเหนื่อย เริ่มเบา ๆ และค่อยเป็นค่อยไป
- เลือกสถานที่ที่คุ้นเคย และไม่ควรเปลี่ยนคู่นอน
10. กรณีมีโรคเบาหวานร่วมด้วย ควรตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดทั้งก่อน และหลังการออกกำลังกาย
- ไม่ควรออกกำลังกาย ถ้าหากระดับน้ำตาลในเลือด ก่อนรับประทานอาหารมากกว่า 300 mg/dl
- ควรรับประทานของว่างก่อนออกกำลังกาย ถ้าหากระดับน้ำตาลในเลือดต่ำกว่า 100 mg/dL
ท่านสามารถจับชีพจรได้ด้วยตนเอง
วิธีการจับชีพจร
- ㆍ ทำได้โดยวางนิ้วชี้ นิ้วกลาง ที่เส้นเลือดบริเวณข้อมือด้านนิ้วหัวแม่มือ และกดลงเบา ๆ จนกว่าจะรู้สึกถึงการเต้นของชีพจร หรือขยับตำแหน่งนิ้วทั้ง 2 เล็กน้อย จนกว่าจะจับชีพจรได้
- ㆍเมื่อจับชีพจรได้แล้ว ให้นับอัตราการเต้นของชีพจรใน 1 นาที
- ㆍควรสังเกตจังหวะการเต้น สม่ำเสมอหรือไม่ แรงไป หรือแผ่วไปหรือไม่ จังหวะการเต้นที่เหมาะสมอยู่ที่ 60-100 ครั้งต่อนาที
ออกกำลังกาย ควรไปต่อหรือพอแค่นี้ ?
หยุด ! ออกกำลังกายหากมีอาการ ดังนี้
- อ่อนเพลียผิดปกติ
- หายใจสั้น ตื้น
- เหนื่อยมากขึ้นจนเริ่มพูดไม่ออก
- จากการจับชีพจร มีอัตราการเต้นของหัวใจเร็วกว่าที่กำหนดไว้ หรือมากกว่า 120 ครั้งต่อนาที
- ปวด เจ็บตามกล้ามเนื้อ ข้อต่อต่าง ๆ หรือเป็นตะคริว
- มีอาการเวียนศีรษะ หรือ หน้ามืด
- เริ่ม ๆ มีอาการเจ็บแน่นหน้าอก
- หากนั่งพักแล้วอาการไม่ดีขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์
เมื่อไหร่ควรีบพบแพทย์ ?
อาการผิดปกติ ที่ต้องมาพบแพทย์ทันที
- ใจสั่น
- เจ็บหน้าอก โดยเฉพาะเจ็บตรงกลางหน้าอก เยื้องลงมาทางลิ้นปี่เล็กน้อย บางทีร้าวไปกราม ไหล่ซ้าย ข้อศอก ท้องแขนซ้าย หรือคอด้านซ้าย
- หายใจลำบาก
- คลื่นไส้ และอาจมีอาเจียน
- เหงื่อออกมาก เวียนศีรษะร่วมด้วย
- เหนื่อยง่ายขึ้น แม้จะทำกิจกรรมเบา ๆ
ศูนย์การรักษาที่เกี่ยวข้อง
ศูนย์หัวใจ
สถานที่
อาคาร 4 ชั้น 5
เวลาทำการ
09:00 - 17:00 น.
เบอร์ติดต่อ
055-90-9000 ต่อ 520101, 520102