Header

วัณโรค

นพ.ศราวุฒิ มากล้น นพ.ศราวุฒิ มากล้น

วัณโรค

วัณโรคเป็นโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Mycobacterium tuberculosis ส่วนใหญ่จะทำให้เกิดวัณโรคปอด แต่วัณโรคยังเกิดกับอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายได้ เช่น ต่อมน้ำเหลือง กระดูกสันหลัง ข้อ ลำไส้ ไต เยื่อหุ้มสมอง

การติดต่อ

เชื้อวัณโรคเข้าสู่ร่างกายโดยการหายใจรับเชื้อที่ปะปนอยู่ในละองฝอย ที่เรียกว่า Droplet nuclei มีขนาดเล็ก 1-5 ไมครอน โดยเชื้อจะออกมากับการไอ จาม บัวนน้ำลาย ขากเสมหะ หรือการใช้เสียง ของผู้ป่วยวัณโรคระยะแพร่เชื้อ ทำให้เชื้อกระจายในอากาศ เชื้อวัณโรคที่ตกลงสู่พื้นหรือติดอยู่กับผิวสัมผัสของวัตถุอื่น ๆ จะถูกทำลายไปได้ง่ายโดยแสงสว่างและอากาศที่ถ่ายเทสะดวก ในห้องที่ทึบอับแสงเชื้อวัณโรคอาจมีชีวิตอยู่ได้ถึง 1 สัปดาห์ ถ้าเสมหะที่มีเชื้อลงสู่พื้นที่ไม่มีแสงแดดส่องเชื้ออาจอยู่ได้ในเสมหะแห้งได้นานถึง 6 เดือน บางครั้งเชื้ออาจผ่านจากแม่ไปยังลูกในครรภ์โดยผ่านทางรกได้ ดังนั้น สมาชิกในครอบครัว ผู้ร่วมอาศัย เพื่อนร่วมงานที่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยวัณโรค ควรมาพบแพทย์เพื่อตรวจคัดกรองผู้สัมผัสโรค และรับการรักษาแต่เนิ่น ๆ



ระยะฟักตัวของโรค เมื่อแรกรับเชื้อจนถึงเมื่อให้ผลทดสอบทูเบอร์คิวลินเป็นบวก ประมาณ 2-10 สัปดาห์ ระยะที่มีโอกาสเกิดอาการของโรคได้มากที่สุด คือ ในสองปีแรกหลังติดเชื้อ โดยทั่วไปแล้วถ้าไม่ได้รับการรักษาเชื้อที่เข้าไปจะซ่อนตัวอยู่เงียบๆ โดยไม่ทำให้เกิดอาการของโรค ถ้าร่างกายอยู่ในสภาพที่แข็งแรงดี แต่เมื่อสุขภาพทรุดโทรมลงหรือมีภาวะเสี่ยงต่าง ๆ เชื้อที่สงบนิ่งอยู่ก็จะทำให้เกิดอาการของโรคได้ ในระยะห่างจากการได้รับเชื้อเข้าไปเป็นเดือนหรือเป็นปีก็ได้

หมายถึง ผู้ที่เคยได้รับเชื้อวัณโรค แต่ไม่มีอาการและอาการแสดงของวัณโรค และไม่สามารถแพร่กระจายเชื้อได้ การวินิจฉัยการติดเชื้อวัณโรคทำได้โดยการทดสอบทูเบอร์คูลินทางผิวหนัง (Tuberculin skin test) ผู้ที่ติดเชื้อวันโรคระยะแฝงมีโอกาสเป็นวัณโรคได้ประมาณร้อยละ 5-10 และครึ่งหนึ่งของผู้เป็นโรคมักพบในช่วง 2 ปีแรกของการได้รับเชื้อ

ลักษณะของการติดเชื้อวัณโรคแฝง

  • ผลการทดสอบทูเบอร์คูลินทางผิวหนัง เป็นบวก
  • ผล X-Ray ทรวงอก ปกติ
  • ผลการตรวจเสมหะ ไม่พบเชื้อวัณ โรค
  • ไม่มีอาการและอาการแสดงของวัณโรค
  • ไม่สามารถแพร่เชื้อวัณโรคไปยังผู้อื่นได้

หมายถึง ผู้ที่ติดเชื้อวัณโรคเละเชื้อสามารถเพิ่มจำนวนในร่างกาย ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อได้ ทำให้มีอาการและอาการแสดงของวัณโรค ผู้ป่วยเป็นวัณโรคสามารถแพร่กระจายเชื้อไปยังผู้อื่นได้ และควรต้องได้รับการรักษา ถ้าไม่ได้รับการรักษาอาจเสียชีวิตได้

ลักษณะของผู้ป่วยวัณโรค

  • มีผลการทดสอบทูเบอร์ดูลินทางผิวหนัง เป็นบวก
  • ผล X-Ray ทรางอกผิดปกติ เช่น พบลักษณะเป็นฝ้าหรือก้อนที่ส่วนบนของปอดข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง หรือปอดเป็นโพรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีหลายโพรง
  • ผลการตรวจเสมหะหรือผลเพาะเชื้อ พบเชื้อวัณโรค
  • มีอาการและอาการแสดงของวัณโรค
  • สามารถแพร่เชื้อวัณโรคไปยังผู้อื่นได้

การทดสอบปฏิกิริยาทางผิวหนังต่อเชื้อวัณโรค หรือ การทดสอบทูเบอร์ดูลินทางผิวหนัง (Tuberculin skin test)
หมายถึง การทดสอบหาการติดเชื้อวัณโรค โดยใช้น้ำยาที่มีส่วนประกอบของโปรตีนจากเชื้อมาฉีดเข้าใต้ผิวหนัง เรียกว่าน้ำยา Tuberculin ถ้าใช้น้ำยาชนิด PPD (Purified Protein Derivative) จะเรียกการทคสอบนี้ว่า
PPD skin test หากผู้รับการทดสอบเคยได้รับเชื้อวันโรคมาก่อน ภูมิคุ้มกันในร่างกาย (T-cell) ที่เคยถูกกระตุ้นด้วยเชื้อวัณโรคจะปล่อยสารทางระบบภูมิคุ้มกันต่าง ๆ ออกมา ทำให้ผิวหนังมีปฏิกิริยาการอักเสบ เกิดเป็นรอยบวมนูนขึ้น

ผู้ที่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยวัณโรค เช่น ญาติที่อาศัยอยู่ในบ้านเดียวกัน เพื่อนร่วมห้อง หรือเพื่อนร่วมงานที่อยู่ในห้องเดียวกัน หรือผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยวัณโรคปอดในช่วงที่มีอาการเป็นระยะเวลานานมากกว่า 8 ชั่วโมงขึ้นไปต่อหนึ่งวัน

  1. สภาพร่างกาย ความแข็งแรงของแต่ร่างกาย โดยเฉพาะเด็กเล็กและผู้สูงอายุมีความเสี่ยงในการเป็นวัณโรคได้ง่าย
  2. ผู้เป็นโรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคษสุราเรื้อรัง โรคเอด หรือผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน
  3. ระยะเวลาและความใกล้ชิดกับผู้ป่วยวัณโรค

อาการวัณโรคในระยะแรกจะสังเกตได้ยาก เพราะอาการเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ ผู้ป่วยอาจไม่รู้ตัวว่าเป็นวัณโรค อาการที่พบบ่อย ได้แก่ มีไข้เรื้อรังต่ำ ๆ มักจะเป็นตอนเย็นหรือบ่าย บางรายอาจมีเหงื่อออกตอนกลางคืน อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ไอเรื้อรังนานเกิน 3 สัปดาห์ อาจไอเป็นเลือด บางรายอาจเจ็บหน้าอก เหนื่อยหอบ ถ้าเป็นมากจะมีน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอด เป็นต้น

  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่กำลังมีอาการไอ และยังไม่ได้รับการรักษาด้วยยารักษาวัณโรค
  • ในผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการ โดยเฉพาะในเด็กอายุต่ำกว่า 4 ปี ที่ผลตรวจทูเบอร์คูลินเป็นบวก แพทย์จะพิจารณาให้ยาป้องกันวัณโรค นาน 2-3 เดือน
  • ให้วัคซีน BCG ป้องกัน ในประเทศที่มีโรควัณโรคชุกชุม องค์การอนามัยโลกแนะนำให้เริ่มให้ BCG วัคซีนตั้งแต่แรกเกิด วัคซีน BCG ถึงแม้จะมีประสิทธิผลแตกต่างกันจากการศึกษาในที่ต่าง ๆ ตั้งแต่ต่ำกว่าร้อยละ 50 ไปจนถึงร้อยละ 80 แต่ที่ได้ผลชัดเจน คือ ป้องกันวัณโรคชนิดรุนแรงแบบแพร่กระจาย และวัณโรคเยื่อหุ้มสมอง ในประเทศไทยให้วัคซีน BCG เมื่อแรกเกิด

แม้วัณโรคจะสามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่มีโอกาสกลับไปเป็นซ้ำได้เช่นกันหากผู้ป่วยรับประทานยาไม่ครบตามกำหนด ดังนั้น เป้าหมายสำคัญในการรักษา คือ การรักษาให้หายขาดเพื่อหยุดการแพร่กระจายเชื้อและป้องกันการดื้อยาของเชื้อวัณโรค

  • ปัจจุบันมียารักษาวัณโรคที่ได้ผลดีหลายชนิด การรักษาจะให้ยาร่วมกัน เพื่อลดอัตราการดื้อยา และเพิ่มประสิทธิภาพของยา
  • ผู้ป่วยวัณโรค ใช้ระยะเวลาในการรักษาทั้งหมด 6 เดือน โดย 2 เดือนแรกต้องรับประทานยา 4 ชนิด เช่น isoniazid, iftampicin, pyrazinamide, ethambutol
  • เมื่อรักษาครบ 2 เดือน แพทย์จะตรวจเสมหะหรือเอกซเรย์ปอดซ้ำ หากมีการตอบสนองที่ดี แพทย์จะลดยาเหลือ 2 ชนิด และให้การรักษาต่อไปอีก 4 เดือน
  • การรักษาจะได้ผลดี ถ้ามารับการรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มแรก และจะต้องกินยาอย่างสม่ำเสมอ เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 6 เดือน และจะต้องดูแลให้พักผ่อนและให้อาหารที่มีโปรตีนสูงและมีไวตามิน เพื่อช่วยเพิ่มความต้านทานโรค
     

  • ต้องรับประทานยาให้ครบตามที่แพทย์กำหนด หลังได้รับการรักษาไปแล้ว 2-4 สัปดาห์ อาการจะดีขึ้น ไข้ลดลง ไอน้อยลง รับประทานอาหารได้มากขึ้น น้ำหนักเพิ่มขึ้น เมื่อผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นมักเข้าใจผิดว่ารักษาหายแล้วจึงไม่รับประทานยาต่อ แต่ในความเป็นจริงการรับประทานยาไม่ครบตามกำหนด ไม่สามารถรักษาให้หายได้และทำให้เชื้อดื้อยา ส่งผลให้การรักษายากขึ้นหรือรักษาไม่ได้เลย
  • แพทย์จะให้ผู้ป่วยรับประทานยาวันละครั้ง ส่วนใหญ่คือก่อนนอน ห้ามแบ่งรับประทานยาหลายเวลาตามมื้ออาหาร เพราะจะทำให้ระดับยาในการรักษาไม่ดีเท่าที่ควร
  • หลังรับประทานยาหากมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือมีผื่นคัน ให้ติดตามผลข้างเคียงอย่างใกลัชิด หากมีอาการเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ให้หยุดยาทั้งหมดแล้วรีบมาพบแพทย์
  • ในช่วงแรกของการรักษาผู้ป่วยควรแยกห้องนอนและหลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับผู้อื่น หลังรับประทานยาแล้ว 2 สัปดาห์ สามารถใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นได้ตามปกติ
  • ขณะไอหรือจามต้องใช้ผ้าปิดปาก ปิดจมูก บัวนเสมหะลงในภาชนะหรือถุงที่ปิดมิดชิด แล้วนำไปทิ้งในถังขยะเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ
  • รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ดูแลร่างกายให้แข็งแรงเพื่อเสริมสร้างภูมิต้านทาน และออกกำลังกายได้ตามความเหมาะสม
  • ควรอยู่ในสถานที่ ๆ มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก ห้องมีลักษณะโปร่ง โล่ง มีหน้าต่าง

  • งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หลีกเลี่ยงการใช้ยาอื่น ๆ ที่ไม่จำเป็น เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคตับอักเสบจากยาและผลข้างเคียงอื่น ๆ
  • ควรหลีกเลี่ยงการเดินทางในที่สาธารณะที่มีผู้คนแออัด เช่น โรงภาพยนตร์ ห้างสรรพสินค้ หรือการเดินทางด้วยยานพาหนะร่วมกับผู้อื่นเป็นเวลานานเกิน 8 ชั่วโมงขึ้นไป
  • ควรหลีกเลี่ยงการตั้งครรภ์ในระหว่างรักษาวัณโรค เลี่ยงการใช้ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเอสโตรเจน เพราะจะทำให้การคุมกำเนิดไม่ได้ผล

ที่มา : โรงพยาบาลศิริราช ปียมหาราชการุณย์ ,คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ,กรมควบคุมโรค

ศูนย์การรักษาที่เกี่ยวข้อง

อายุรกรรม

แผนกอายุรกรรม

สถานที่

อาคาร 4 ชั้น 1

เวลาทำการ

07:00 - 22:00 น.

เบอร์ติดต่อ

055-90-9000 ต่อ 520101 และ 520102

แพทย์ประจำศูนย์

แผนกอายุรกรรม

นพ.เอกอมร เทพพรหม

อายุรแพทย์โรคเลือด

แผนกอายุรกรรม

พญ.ศรีรัตน์ ชุติพงษ์วิเวท

โสต ศอ นาสิกแพทย์

แผนกอายุรกรรม

พญ.ศรินยา สัทธานนท์

อายุรแพทย์โรคต่อมไร้ท่อและเมตะบอลิสม

แพทย์แนะนำ

ศูนย์ศัลยกรรมทั่วไป

พญ.กิติยา จันทรวิถี

พญ.กิติยา จันทรวิถี

ศูนย์ศัลยกรรมทั่วไป

อายุรแพทย์โรคหัวใจและหลอดเลือด

นพ. ลิขิต กำธรวิจิตรกุล

ศัลยเเพทย์ออร์ปิดิกส์

บทความที่เกี่ยวข้อง

หอบหืด โรคที่ทำให้ปอดคุณหายใจจนเหนื่อย

โรคหอบหืด เป็นโรคที่เกิดจากการอักเสบเรื้อรังของหลอดลม ทำให้เยื่อบุและผนังหลอดลมตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นจากภายใน และจากสิ่งแวดล้อมมากกว่าปกติ ส่งผลให้หายใจไม่สะดวกและมีเสียงหวีด เหนื่อยหอบ ไอเรื้อรัง แน่นหน้าอก โดยเฉพาะตอนกลางคืนและช่วงเช้ามืด สามารถเกิดได้ทุกเพศทุกวัย และอาจเสียชีวิตได้หากอาการรุนแรง หอบหืดไม่ใช่โรคติดต่อ แต่สามารถถ่ายทอดผ่านทางพันธุกรรมได้

หอบหืด โรคที่ทำให้ปอดคุณหายใจจนเหนื่อย

โรคหอบหืด เป็นโรคที่เกิดจากการอักเสบเรื้อรังของหลอดลม ทำให้เยื่อบุและผนังหลอดลมตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นจากภายใน และจากสิ่งแวดล้อมมากกว่าปกติ ส่งผลให้หายใจไม่สะดวกและมีเสียงหวีด เหนื่อยหอบ ไอเรื้อรัง แน่นหน้าอก โดยเฉพาะตอนกลางคืนและช่วงเช้ามืด สามารถเกิดได้ทุกเพศทุกวัย และอาจเสียชีวิตได้หากอาการรุนแรง หอบหืดไม่ใช่โรคติดต่อ แต่สามารถถ่ายทอดผ่านทางพันธุกรรมได้

5 อันดับโรคมะเร็งของผู้ชาย

จากข้อมูลสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ ระบุว่า แต่ละปีมีคนไทยป่วยเป็นโรคมะเร็งรายใหม่มากถึงวันละ 381 คน หรือ 139,206 คนต่อปี และเสียชีวิตจากโรคมะเร็งวันละ 230 คน หรือ 84,073 คนต่อปี โดย 5 อันดับแรกของมะเร็งที่พบบ่อยในชายไทย ได้แก่ มะเร็งตับและท่อน้ำดี มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งต่อมน้ำเหลือง

พญ.วีรนุช	รัตนเดช พญ.วีรนุช รัตนเดช

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
5 อันดับโรคมะเร็งของผู้ชาย

จากข้อมูลสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ ระบุว่า แต่ละปีมีคนไทยป่วยเป็นโรคมะเร็งรายใหม่มากถึงวันละ 381 คน หรือ 139,206 คนต่อปี และเสียชีวิตจากโรคมะเร็งวันละ 230 คน หรือ 84,073 คนต่อปี โดย 5 อันดับแรกของมะเร็งที่พบบ่อยในชายไทย ได้แก่ มะเร็งตับและท่อน้ำดี มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งต่อมน้ำเหลือง

พญ.วีรนุช	รัตนเดช พญ.วีรนุช รัตนเดช

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
โรคมะเร็ง 5 อันดับ ที่พบบ่อยในผู้หญิง

โรคมะเร็ง 5 ที่พบบ่อยในผู้หญิง จากข้อมูลสถาบันมะเร็งแห่งชาติรายงานว่า โรคมะเร็งที่พบในผู้ป่วยรายใหม่มากที่สุด 5 อันดับแรก ของผู้หญิงไทย  ได้แก่ มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก มะเร็งปอด มะเร็งมดลูก ซึ่งผู้หญิงทุกคนมีโอกาสเป็นได้ ถ้ารู้จักการป้องกันโรคก็จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคได้

พญ.วีรนุช	รัตนเดช พญ.วีรนุช รัตนเดช

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
โรคมะเร็ง 5 อันดับ ที่พบบ่อยในผู้หญิง

โรคมะเร็ง 5 ที่พบบ่อยในผู้หญิง จากข้อมูลสถาบันมะเร็งแห่งชาติรายงานว่า โรคมะเร็งที่พบในผู้ป่วยรายใหม่มากที่สุด 5 อันดับแรก ของผู้หญิงไทย  ได้แก่ มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก มะเร็งปอด มะเร็งมดลูก ซึ่งผู้หญิงทุกคนมีโอกาสเป็นได้ ถ้ารู้จักการป้องกันโรคก็จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคได้

พญ.วีรนุช	รัตนเดช พญ.วีรนุช รัตนเดช

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม