Header

มะเร็งกระเพาะอาหาร

25 มิถุนายน 2567

พญ.วีรนุช	รัตนเดช พญ.วีรนุช รัตนเดช

มะเร็งกระเพาะอาหาร อันตราย ภัยเงียบที่หลายคนมองข้าม

รายงานล่าสุดจากองค์การอนามัยโลกในปี ค.ศ. 2022
พบผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะอาหารรายใหม่ จำนวน 968,365 คน
และพบผู้เสียชีวิตจากมะเร็งกระเพาะอาหารถึง 659,805 คน
ซึ่งจัดอยู่ในอันดับที่ 5 จากสถิติมะเร็งทั้งหมดในทุกระบบ

สถิติมะเร็งกระเพาะอาหาร (Stomach Cancer)ในประเทศไทย จากข้อมูลสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ปี 2559 พบผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะอาหารรายใหม่ราว 3.6 ราย ในเพศชาย และ 2.5 ราย ในเพศหญิง ต่อประชากรแสนคน หรือคิดเป็นร้อยละ 1.72 ของผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะอาหารรายใหม่ พบมากขึ้นชัดเจนในช่วงอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป

มะเร็งกระเพาะอาหารเกิดจากอะไร?

ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่ทำให้เกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร ได้แก่

  1. การติดเชื้อเอช.ไพโลไร (H.pylori หรือ Helicobacter pylori) การติดเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้ในกระเพาะอาหารจะทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังของเยื่อบุกระเพาะอาหาร จนกระทั่งเกิดการฝ่อของเยื่อบุและเกิดการเปลี่ยนแปลงของเซลล์เยื่อบุกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้ อย่างไรก็ตามแม้ว่าความชุกของการติดเชื้อชนิดนี้ในประเทศไทยอยู่ที่ร้อยละ 40-50 แต่ความชุกของมะเร็งกระเพาะอาหารกลับต่ำ ไม่สอดคล้องกัน คาดว่าน่าจะมีผลจากปัจจัยอื่น ๆ อีก เช่น ชนิดหรือสายพันธุ์ของเชื้อ ปฏิกิริยาการตอบสนองของร่างกายต่อการติดเชื้อ เป็นต้น
  2. การรับประทานอาหารที่มีวัตถุกันเสียเป็นประจำ โซเดียมไนเตรทและโซเดียมไนไตรท์เมื่อผ่านปฏิกิริยาในร่างกายจะเปลี่ยนเป็น “สารไนโตรซามีน” ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง มักพบในอาหารประเภทหมักดอง อาหารกระป๋อง อาหารปิ้งย่าง และอาหารจำพวกเนื้อสัตว์แปรรูป เช่น หมูยอ แฮม ไส้กรอก กุนเชียง แหนม เป็นต้น หากรับประทานอาหารกลุ่มนี้เป็นประจำก็ทำให้เสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารได้
  3. มีญาติสายตรงเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร
  4. เป็นโรคที่มีความผิดปกติของสารพันธุกรรม (พบน้อยมาก)

อาการมะเร็งกระเพาะอาหาร

มะเร็งกระเพาะอาหารในระยะเริ่มแรก อาจไม่มีอาการผิดปกติใด ๆ นอกจากอาการเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น รู้สึกเหมือนอาหารไม่ย่อย รู้สึกไม่สบายในช่องท้อง ท้องอืดหลังรับประทานอาหาร คลื่นไส้เล็กน้อย ความอยากอาหารลดลง น้ำหนักลด บางรายอาจมีอาการปวดแสบร้อนที่บริเวณหน้าอก ซึ่งอาการเหล่านี้ส่วนใหญ่มักไม่ได้มีสาเหตุมาจากโรคมะเร็ง แต่ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาหตุและหาลักษณะอาการแสดงอื่น ๆ ของมะเร็งกระเพาะอาหารเพิ่มเติม

เมื่อมะเร็งกระเพาะอาหารลุกลามมากขึ้น อาจมีเลือดปนในอุจจาระ ถ่ายอุจจาระสีดำ ปวดท้อง อาเจียน น้ำหนักลดลงอย่างมากโดยไม่ทราบสาเหตุ หากมีการลุกลามของมะเร็งไปยังอวัยวะอื่น ๆ เช่น ตับ และเยื่อบุผนังในช่องท้อง อาจมีอาการตัวเหลืองตาเหลือง และท้องบวมจากน้ำในช่องท้องร่วมด้วย

การวินิจฉัยมะเร็งกระเพาะอาหาร

การตรวจเพื่อการวินิจฉัยมะเร็งกระเพาะอาหาร สามารถทำได้หลายวิธี

  1. การซักประวัติและอาการ ปัจจัยเสี่ยง พฤติกรรม การเจ็บป่วยในอดีต รวมถึงประวัติการรักษาที่ผ่านมา การตรวจร่างกายทั่วไป รวมถึงตรวจดูลักษณะก้อนหรือสิ่งที่มีลักษณะผิดปกติในช่องท้อง ตรวจหาต่อมน้ำเหลืองบริเวณไหปลาร้า
  2. การตรวจทางห้องปฏิบัติการ ได้แก่ ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (CBC) การทำงานของตับ การทำงานของไต ตรวจเลือดแฝงในอุจจาระ เป็นต้น
  3. การส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนบน (Esophago Gastro Duodenoscopy, EGD) วิธีนี้มีความถูกต้องแม่นยำสูง และแม่นยำกว่าการเอกซเรย์กลืนแป้ง ทำได้ไม่ยุ่งยาก ซึ่งจะเห็นความผิดปกติได้ตั้งแต่หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กส่วนต้น เพื่อหาบริเวณที่ผิดปกติ และตัดชิ้นเนื้อเยื่อผิวกระเพาะที่สงสัยไปตรวจหาเซลล์มะเร็งมะเร็งกระเพาะอาหาร และสามารถตรวจการติดเชื้อแบคทีเรียเอช.ไพโลไร (H. Pylori) ได้ด้วย
  4. การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ของช่องท้อง (CT Scan) จะทำให้เห็นลักษณะพยาธิสภาพของมะเร็งกระเพาะอาหารชัดเจนขึ้น สามารถดูการกระจายไปยังต่อมน้ำเหลือง และอวัยวะอื่น ๆ ในช่องท้อง เช่น ตับ และเยื่อบุช่องท้องได้ด้วย
  5. นอกจากนี้ยังมีการตรวจอื่น ๆ เพื่อหาว่ามะเร็งกระเพาะอาหารมีการแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น ๆ หรือไม่ เช่น เอกซเรย์ปอด การตรวจสแกนกระดูก (Bone scan / Scintigraphy) หรืออาจตรวจด้วย PET/CT Scan ซึ่งเป็นการตรวจทั่วทั้งร่างกาย สามารถเห็นพยาธิสภาพที่กระเพาะอาหารได้ ในขณะเดียวกันก็สามารถตรวจหาการแพร่กระจายของมะเร็งกระเพาะอาหารไปได้พร้อมกัน

การรักษามะเร็งกระเพาะอาหาร

การรักษาผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะอาหารมีหลายรูปแบบ ได้แก่ การให้ยาเคมี รังสีรักษา และ การผ่าตัด ซึ่งจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับระยะของมะเร็งกระเพาะอาหาร ตำแหน่งของมะเร็งว่าอยู่ส่วนไหนของกระเพาะอาหาร ความลึกของมะเร็ง การกระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองรอบ ๆ กระเพาะอาหาร และการกระจายไปอวัยวะที่ห่างจากกระเพาะอาหาร สภาพร่างกายของผู้ป่วย

โดยหลักการรักษามะเร็งกระเพาะอาหารที่สำคัญจะมุ่งเน้นให้ผู้ป่วยมีอัตราการรอดชีวิตที่นานสุด มีคุณภาพชีวิตที่ดี ดังนั้นถ้าหากตรวจพบมะเร็งกระเพาะอาหารในระยะต้นที่ยังไม่มีการแพร่กระจาย การรักษาจะหวังผลเพื่อให้หายขาดจากโรค หากเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารระยะสุดท้ายจะเป็นการรักษาเพื่อการประคับประคองให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในช่วงสุดท้ายของชีวิต

ระยะของมะเร็งของกระเพาะอาหาร

  • มะเร็งกระเพาะอาหาร ระยะต้นหรือระยะที่ 1

มะเร็งกระเพาะอาหารที่กินลึกเพียงชั้นผิว ไม่ลึกถึงกล้ามเนื้อกระเพาะอาหาร ซึ่งมะเร็งกระเพาะอาหารระยะนี้พบน้อยในประเทศไทย เนื่องจากผู้ป่วยมักไม่มีอาการ และประชาชนส่วนใหญ่ยังมีความรู้ไม่เพียงพอเกี่ยวกับการตรวจคัดกรอง ประชาชนกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ ผู้ที่ดื่มสุราและสูบบุหรี่มาเป็นเวลานาน ผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหารเป็น ๆ หาย ๆ หรือรักษาโรคกระเพาะอาหารเต็มที่แล้วไม่ดีขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่อายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป เนื่องจากมะเร็งกระเพาะอาหารในระยะเริ่มแรก มีโอกาสกระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองต่ำ ดังนั้นการรักษามะเร็งกระเพาะอาหารในระยะนี้สามารถทำได้โดยการตัดเพียงชิ้นเนื้อมะเร็งที่ผิวกระเพาะอาหาร โดยการส่องกล้องจึงเพียงพอและสามารถหวังผลหายขาดได้

  • มะเร็งกระเพาะอาหาร ระยะที่ 2 และ 3

หรือมะเร็งระยะลุกลาม คือ ระยะที่มะเร็งกระเพาะอาหารมีความลึกไปถึงชั้นกล้ามเนื้อหรือผิวด้านนอกของกระเพาะอาหาร มะเร็งกระเพาะอาหารที่มีความลึกระดับนี้จะมีโอกาสกระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองมากขึ้น การรักษาหลักคือ การผ่าตัดกระเพาะอาหารเอาส่วนที่เป็นมะเร็ง และต่อมน้ำเหลืองที่อยู่รอบกระเพาะอาหารออก ร่วมกับการให้ยาเคมีบำบัดหลังผ่าตัด

  • มะเร็งกระเพาะอาหาร ระยะที่ 4

หรือมะเร็งระยะสุดท้าย คือ มะเร็งกระเพาะอาหารที่มีการกระจายออกไปยังอวัยวะที่ห่างจากกระเพาะ หรือไม่ได้ติดต่อกับกระเพาะอาหารโดยตรง การรักษามะเร็งกระเพาะอาหารในระยะนี้ แม้จะตัดกระเพาะอาหาร เลาะต่อมน้ำเหลือง ให้ยาเคมีบำบัด ก็มักไม่ได้เพิ่มความยืนยาวของอายุผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะอาหารแต่อย่างใด แนวโน้มจึงเป็นการรักษาเพื่อการประคับประคองผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะอาหารให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในช่วงสุดท้ายของชีวิต

การตรวจติดตามหลังการรักษามะเร็งกระเพาะอาหาร

การตรวจติดตามผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะอาหารอย่างต่อเนื่อง มีวัตถุประสงค์เพื่อดูแลผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นจากการรักษามะเร็งกระเพาะอาหาร และเพื่อประเมินผลการรักษา โดยแพทย์จะซักประวัติ ตรวจร่างกาย รวมทั้งส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการและรังสีวิทยาเป็นระยะ ๆ เพื่อตัดสินใจว่าจะให้การรักษาเดิมต่อไป หยุดการรักษา หรือเปลี่ยนการรักษาไปเป็นชนิดอื่น นอกจากนี้การตรวจติดตามอย่างสม่ำเสมอยังช่วยให้สามารถตรวจพบการเป็นซ้ำของมะเร็งกระเพาะอาหารได้อย่างรวดเร็ว

คำแนะนำสำหรับประชาชน

เนื่องจากมะเร็งกระเพาะอาหาร ยังไม่มีแนวทางการตรวจคัดกรองที่ชัดเจน ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง เช่น ไม่รับประทานอาหารกลุ่มที่มีสารก่อมะเร็งดังกล่าวไว้ข้างต้นเป็นประจำ และคอยหมั่นสังเกตอาการตนเอง หากมีอาการของสัญญาณเตือนที่น่าสงสัยมะเร็งกระเพาะอาหาร ควรรีบมาพบแพทย์เพื่อรับการตรวจเพิ่มเติมที่เหมาะสม

 

หากมีคำถาม ข้อสงสัย หรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับมะเร็งกระเพาะอาหาร โปรดปรึกษาแพทย์

คลิกขอคำปรึกษา

 

ที่มา : สาขารังสีรักษาและมะเร็งวิทยา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ , ราชวิทยาลัยศัลยแพทย์แห่งประเทศไทย , คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล , โรงพยาบาลมะเร็งลำปาง กรมการแพทย์ , คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ , คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

 



ศูนย์การรักษาที่เกี่ยวข้อง

ศูนย์มะเร็งพิษณุเวช ฮอไรซัน

สถานที่

เวลาทำการ

เบอร์ติดต่อ

055-90-9000 ต่อ 520101, 520102

แพทย์ประจำศูนย์

ศูนย์มะเร็งพิษณุเวช ฮอไรซัน

พญ.วีรนุช รัตนเดช

อายุรแพทย์โรคมะเร็ง

แพทย์แนะนำ

ศูนย์ศัลยกรรมทั่วไป

พญ.กิติยา จันทรวิถี

พญ.กิติยา จันทรวิถี

ศูนย์ศัลยกรรมทั่วไป

อายุรแพทย์โรคหัวใจและหลอดเลือด

นพ. ลิขิต กำธรวิจิตรกุล

ศัลยเเพทย์ออร์ปิดิกส์

บทความที่เกี่ยวข้อง

เอชไพโลไร (H. Pylori) แบคทีเรียตัวร้ายทำลายกระเพาะอาหาร สาเหตุสู่มะเร็ง

เอชไพโลไร (H. Pylori) ไม่ใช่แค่ทำให้เกิดการอักเสบของกระเพาะอาหารเท่านั้น แต่เชื้อเอชไพโลไรยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เป็นมะเร็งกระเพาะอาหารได้ ฉะนั้นหากตรวจพบเชื้อเอชไพโลไร ควรเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่องจากแพทย์เฉพาะทาง และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพราะหากเราได้รับเชื้อตัวนี้ในระยะยาว อาการปวดท้อง อาจไม่ใช่ แค่ปวดท้องธรรมดา อาจนำไปสู่โรคมะเร็งได้

blank โรงพยาบาลพิษณุเวช

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
เอชไพโลไร (H. Pylori) แบคทีเรียตัวร้ายทำลายกระเพาะอาหาร สาเหตุสู่มะเร็ง

เอชไพโลไร (H. Pylori) ไม่ใช่แค่ทำให้เกิดการอักเสบของกระเพาะอาหารเท่านั้น แต่เชื้อเอชไพโลไรยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เป็นมะเร็งกระเพาะอาหารได้ ฉะนั้นหากตรวจพบเชื้อเอชไพโลไร ควรเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่องจากแพทย์เฉพาะทาง และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพราะหากเราได้รับเชื้อตัวนี้ในระยะยาว อาการปวดท้อง อาจไม่ใช่ แค่ปวดท้องธรรมดา อาจนำไปสู่โรคมะเร็งได้

blank โรงพยาบาลพิษณุเวช

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม