Header

โรคซึมเศร้าหลังคลอด

07 พฤศจิกายน 2567

พญ.ทินารมภ์ ชัยพุทธานุกูล พญ.ทินารมภ์ ชัยพุทธานุกูล

โรคซึมเศร้าหลังคลอด

โรคซึมเศร้าหลังคลอด (Postpartum Depression) เป็นภาวะทางจิตใจที่เกิดขึ้นกับคุณแม่หลังการคลอดบุตร โดยเฉพาะในช่วง 4-6 สัปดาห์แรกหลังคลอด แต่ในบางกรณีอาจเกิดขึ้นได้ตลอดทั้งปีหลังจากการคลอด ภาวะนี้มักเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมนและสภาพจิตใจ โดยมีอาการคล้ายคลึงกับโรคซึมเศร้าทั่วไป เช่น รู้สึกเศร้า วิตกกังวล ไม่มีความสุข หรือรู้สึกว่าตนเองเป็นแม่ที่ไม่ดี

อาการของโรคซึมเศร้านี้มีหลายระดับ ตั้งแต่อาการเล็กน้อยไปจนถึงอาการรุนแรงที่จำเป็นต้องได้รับการรักษา ปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะนี้รวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมน ความเครียดจากการดูแลทารก และปัจจัยทางพันธุกรรม

แม้จะเป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้กับคุณแม่หลายคน แต่โรคซึมเศร้าหลังคลอดสามารถจัดการและรักษาได้ การทำความเข้าใจและยอมรับว่าโรคนี้เป็นสิ่งที่สามารถแก้ไขได้จะช่วยให้คุณแม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างเหมาะสม ทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ

 

โรคซึมเศร้าหลังคลอด: อาการ สาเหตุ และวิธีการจัดการ

โรคซึมเศร้าหลังคลอดเป็นปัญหาสุขภาพจิตที่พบได้บ่อยในคุณแม่มือใหม่ เป็นโรคที่สามารถส่งผลกระทบต่อทั้งตัวคุณแม่เองและครอบครัวอย่างมาก ในบทความนี้ เราจะพาคุณมารู้จักกับโรคนี้ให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสาเหตุ อาการ และวิธีการจัดการ

 

โรคซึมเศร้าหลังคลอดคืออะไร?

โรคซึมเศร้าหลังคลอด (Postpartum Depression ) คือภาวะความเศร้าที่เกิดขึ้นกับคุณแม่หลังจากการคลอดบุตร มักจะเกิดขึ้นภายในช่วง 4-6 สัปดาห์แรกหลังคลอด อาการของโรคนี้มักจะมีความคล้ายคลึงกับโรคซึมเศร้าแบบทั่วไป แต่สิ่งที่แตกต่างคือการเกิดขึ้นภายหลังจากการคลอดบุตร อาการของโรคนี้ไม่ใช่เรื่องที่หายได้เองและต้องการการรักษาอย่างถูกวิธี

 

ภาวะอารมณ์เศร้าหลังคลอด "Baby Blues" กับโรคซึมเศร้าหลังคลอด“Postpartum depression”ต่างกันอย่างไร?

สิ่งที่ทำให้หลายคนสับสนคือความแตกต่างระหว่างภาวะอารมณ์เศร้าหลังคลอด "Baby Blues" และโรคซึมเศร้าหลังคลอด “Postpartum depression”

Baby Blues เป็นอาการที่พบได้บ่อยในคุณแม่หลังคลอด เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน อาการมักจะเป็นเพียงชั่วคราวและหายไปในไม่กี่วัน แต่โรคซึมเศร้าหลังคลอดเป็นอาการที่รุนแรงกว่าและยาวนานกว่า ซึ่งต้องการการรักษาอย่างจริงจัง

 

สาเหตุของโรคซึมเศร้าหลังคลอด

มีหลายสาเหตุที่ทำให้คุณแม่หลังคลอดเกิดโรคซึมเศร้าได้ ทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ รวมถึงปัจจัยจากสิ่งแวดล้อมด้วย

 

การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน

หลังจากคลอดบุตร ร่างกายของคุณแม่จะมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนอย่างมาก โดยเฉพาะระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนที่ลดลงอย่างรวดเร็ว ฮอร์โมนเหล่านี้มีผลโดยตรงต่อสมองและอารมณ์ เมื่อระดับฮอร์โมนลดลง อาจทำให้คุณแม่รู้สึกเศร้า หงุดหงิด หรือวิตกกังวล

 

ความเครียดจากการดูแลทารก

การดูแลทารกแรกเกิดไม่ใช่เรื่องง่าย ความเหนื่อยล้าจากการเลี้ยงลูก การนอนหลับไม่เพียงพอ และการปรับตัวกับบทบาทใหม่อาจทำให้เกิดความเครียดทางจิตใจ ซึ่งอาจเป็นปัจจัยกระตุ้นโรคซึมเศร้า

 

ปัจจัยทางพันธุกรรมและประวัติสุขภาพจิต

ผู้ที่มีประวัติครอบครัวหรือประวัติส่วนตัวเกี่ยวกับโรคซึมเศร้าหรือโรคจิตเวช มีโอกาสเสี่ยงที่จะประสบกับโรคซึมเศร้าหลังคลอดมากขึ้น นอกจากนี้ หากคุณแม่เคยเป็นโรคซึมเศร้าหรือโรคทางอารมณ์ก่อนหน้านี้ โอกาสที่จะเป็นโรคซึมเศร้าหลังคลอดก็จะสูงขึ้น

 

อาการของโรคซึมเศร้าหลังคลอด

อาการของโรคซึมเศร้าหลังคลอดมีความหลากหลาย ซึ่งอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล บางคนอาจมีอาการเพียงเล็กน้อย ขณะที่บางคนอาจมีอาการที่รุนแรงมากขึ้น

 

อาการทางจิตใจ:

  1. รู้สึกเศร้า : รู้สึกหมดหวัง หรือหดหู่ใจอย่างต่อเนื่อง
  2. ความรู้สึกผิดหรือไม่มั่นใจในตัวเอง : รู้สึกว่าตัวเองเป็นแม่ที่ไม่ดีหรือไม่มีความสามารถในการดูแลลูก
  3. อารมณ์แปรปรวน : รู้สึกโกรธ หงุดหงิด หรือวิตกกังวลมากเกินไปโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน
  4. ความรู้สึกเหินห่างจากลูก : ไม่มีความรู้สึกผูกพันหรือรักลูกเหมือนที่คาดหวัง
  5. ความยากลำบากในการตัดสินใจ : ขาดสมาธิ หรือมีปัญหาในการจดจำสิ่งต่าง ๆ
  6. ความรู้สึกอ่อนล้า : ขาดพลังงานในการทำกิจวัตรประจำวัน รวมถึงการดูแลลูก
  7. ความคิดเกี่ยวกับการทำร้ายตัวเองหรือลูก : ในกรณีรุนแรงอาจมีความคิดที่เป็นอันตรายต่อตนเองหรือลูก

อาการทางร่างกาย:

  1. ปัญหาในการนอนหลับ: นอนไม่หลับแม้ว่าจะเหนื่อยมาก หรือบางครั้งนอนมากเกินไป
  2. ความเหนื่อยล้าหรือหมดพลังงาน : รู้สึกอ่อนเพลียแม้จะนอนหลับอย่างเพียงพอ
  3. การเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักและการรับประทานอาหาร : อาจมีการเพิ่มหรือลดน้ำหนักอย่างผิดปกติ เนื่องจากรับประทานอาหารมากเกินไปหรือเบื่ออาหาร
  4. ปวดเมื่อยตามร่างกาย : มีอาการปวดศีรษะ ปวดท้อง หรือปวดกล้ามเนื้อที่ไม่มีสาเหตุชัดเจน

อาการอื่นๆ:

  • ขาดความสนใจในสิ่งที่เคยชอบ : สิ่งที่เคยทำให้มีความสุขหรือสนุกสนานกลับไม่ดึงดูดความสนใจอีกต่อไป
  • ความรู้สึกวิตกกังวลสูง : ความกังวลเกี่ยวกับการดูแลลูกหรือการทำผิดพลาดจนเกินเหตุ

 

การวินิจฉัยและการรักษาโรคซึมเศร้าหลังคลอด

หากคุณแม่มีอาการที่บ่งชี้ถึงโรคซึมเศร้าหลังคลอด ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม โดยแพทย์จะทำการประเมินจากประวัติและอาการทางจิตใจ รวมถึงอาจมีการทดสอบเพิ่มเติมเพื่อยืนยันผลการวินิจฉัย

ขั้นตอนการวินิจฉัย:

  1. การประเมินอาการ : แพทย์จะสอบถามเกี่ยวกับอาการทางจิตใจ เช่น รู้สึกเศร้า หมดหวัง หรือหงุดหงิดบ่อย ๆ นานเกินกว่า 2 สัปดาห์หรือไม่ รวมถึงการประเมินการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย เช่น ปัญหาการนอนหลับ ความเหนื่อยล้า และการรับประทานอาหาร

  2. การสอบถามประวัติสุขภาพจิต : การมีประวัติโรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล หรือโรคจิตเวชอื่น ๆ อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคซึมเศร้าหลังคลอด

  3. แบบทดสอบประเมินสุขภาพจิต : แพทย์อาจใช้แบบสอบถามหรือแบบทดสอบเพื่อประเมินระดับความซึมเศร้า เช่น Edinburgh Postnatal Depression Scale (EPDS) ซึ่งช่วยให้แพทย์ประเมินได้ว่าคุณแม่มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคซึมเศร้าหลังคลอดหรือไม่

  4. การตรวจสุขภาพร่างกาย : แพทย์อาจตรวจร่างกาย ตรวจเลือดหรือตรวจสุขภาพเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุอื่น ๆ ที่อาจเป็นต้นเหตุของอาการ เช่น ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ

 

การบำบัดด้วยการพูดคุย (Talk Therapy)

  • การทำจิตบำบัดแบบประคับประคอง (Supportive Psychotherapy) : การพบกับนักจิตวิทยาหรือนักบำบัดเพื่อพูดคุยและเรียนรู้วิธีจัดการกับอารมณ์ ความคิด และปัญหาที่เผชิญอยู่ ช่วยให้คุณแม่เข้าใจถึงสาเหตุของอาการซึมเศร้าและสามารถจัดการกับอารมณ์ได้ดีขึ้น
  • การทำจิตบำบัดแบบ Cognitive Behavioral Therapy (CBT) : เป็นการบำบัดที่เน้นการเปลี่ยนแปลงความคิดและพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดโรคซึมเศร้า ช่วยให้คุณแม่เรียนรู้วิธีมองโลกในแง่บวกและปรับตัวกับสถานการณ์ใหม่

 

การรักษาด้วยยา (Medication)

  • ยาต้านซึมเศร้า (Antidepressants) : ในกรณีที่อาการซึมเศร้ารุนแรงหรือมีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน แพทย์อาจสั่งจ่ายยาต้านซึมเศร้า ยาจะช่วยปรับสมดุลของสารเคมีในสมอง เช่น เซโรโทนิน (Serotonin) เพื่อรักษา
  • การใช้ยาในขณะให้นมบุตร : แพทย์จะพิจารณายาที่ปลอดภัยสำหรับคุณแม่ที่กำลังให้นมลูก และอาจปรับขนาดยาเพื่อให้มั่นใจว่าปลอดภัยสำหรับทารก

การสนับสนุนจากครอบครัวและสังคม

การได้รับความช่วยเหลือจากครอบครัว เพื่อน หรือคนที่เขาใจ เช่น คุณแม่ที่เคยมีอาการซึมเศร้าหลังคลอดเป็นสิ่งสำคัญ การได้พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับคนที่เข้าใจสถานการณ์เดียวกันช่วยลดความเครียดและเพิ่มกำลังใจในการฟื้นตัว

การป้องกันโรคซึมเศร้าหลังคลอด

ถึงแม้ว่าโรคซึมเศร้าหลังคลอดจะเป็นโรคที่ไม่สามารถป้องกันได้ทั้งหมด แต่มีหลายวิธีที่คุณแม่สามารถทำเพื่อลดความเสี่ยงจะเกิดโรคได้

เตรียมความพร้อมทางจิตใจก่อนคลอด

  • การศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาวะหลังคลอด : การเรียนรู้และเตรียมตัวเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทั้งทางร่างกายและจิตใจที่อาจเกิดขึ้นหลังคลอด รวมถึงความรู้เกี่ยวกับโรคซึมเศร้าหลังคลอด จะช่วยให้คุณแม่สามารถเตรียมตัวและรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • พูดคุยกับครอบครัวหรือผู้เชี่ยวชาญ : การปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับความเสี่ยงของโรคซึมเศร้าหลังคลอด โดยเฉพาะคุณแม่ที่มีประวัติสุขภาพจิต เช่น เคยมีอาการซึมเศร้าหรือวิตกกังวล ควรปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการดูแลตนเองตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์

การดูแลสุขภาพร่างกายและจิตใจ

  • การนอนหลับและพักผ่อนให้เพียงพอ : หลังคลอดคุณแม่มักพบกับความเหนื่อยล้าจากการดูแลทารก การพักผ่อนให้เพียงพอจึงเป็นสิ่งสำคัญ การจัดสรรเวลานอนแม้ว่าจะไม่ได้นอนติดต่อกันเป็นเวลานานก็ควรจัดให้เพียงพอ โดยอาจขอความช่วยเหลือจากคนในครอบครัวเพื่อแบ่งเบาภาระ
  • การออกกำลังกายเบา ๆ : การออกกำลังกายช่วยกระตุ้นสารเคมีในสมอง เช่น เซโรโทนิน (Serotonin) และเอ็นโดรฟิน (Endorphins) ที่มีส่วนช่วยให้คุณแม่รู้สึกผ่อนคลายและลดความเครียดได้ กิจกรรมง่าย ๆ อย่างการเดินเล่นในสวนหรือการทำโยคะก็ช่วยทำให้อารมณ์ดีขึ้นได้

สร้างระบบสนับสนุนทางสังคม

  • การขอความช่วยเหลือจากครอบครัวและเพื่อน : การได้รับการเข้าใจและช่วยเหลือจากคนในครอบครัวหรือเพื่อนสนิทเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณแม่ไม่รู้สึกโดดเดี่ยว การพูดคุยหรือแบ่งปันความรู้สึกกับคนที่เข้าใจจะช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวล
  • เข้าร่วมกลุ่มคุณแม่หลังคลอด : การเข้าร่วมกลุ่มหรือคลับคุณแม่หลังคลอดสามารถช่วยให้คุณแม่ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับคุณแม่คนอื่น ๆ ที่มีปัญหาคล้ายกัน และสามารถเรียนรู้วิธีการจัดการกับปัญหาหรือความท้าทายที่เกิดขึ้นหลังคลอดได้

จัดการความคาดหวัง

  • ยอมรับความเปลี่ยนแปลง : คุณแม่ควรเตรียมตัวให้พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและจิตใจที่อาจเกิดขึ้นหลังคลอด การยอมรับความเปลี่ยนแปลงนี้จะช่วยลดความกดดันและความเครียด
  • ไม่ต้องการความสมบูรณ์แบบ : อย่าคาดหวังว่าจะต้องเป็นคุณแม่ที่สมบูรณ์แบบ การดูแลลูกเป็นเรื่องที่ต้องเรียนรู้และปรับตัวได้ทีละน้อย การยอมรับความผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้

การขอความช่วยเหลือเมื่อเริ่มรู้สึกไม่สบายใจ

  • ปรึกษาแพทย์หรือนักจิตวิทยา : หากคุณแม่เริ่มรู้สึกว่าตนเองมีอาการที่เข้าข่ายโรคซึมเศร้าหลังคลอด เช่น ความรู้สึกเศร้า ความเหนื่อยล้า หรือวิตกกังวลมากเกินไป ควรรีบขอคำปรึกษาจากแพทย์หรือนักจิตวิทยาแต่เนิ่น ๆ การป้องกันและรับการรักษาตั้งแต่เริ่มมีอาการจะช่วยลดความรุนแรงของโรคซึมเศร้าได้
  • การทำบำบัดหรือใช้ยารักษา : สำหรับคุณแม่ที่มีประวัติโรคซึมเศร้า ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการใช้ยาเพื่อป้องกันอาการกำเริบหลังคลอด ยาต้านซึมเศร้าบางชนิดสามารถใช้ได้อย่างปลอดภัยขณะให้นมบุตร โดยแพทย์จะพิจารณายาที่เหมาะสมตามสภาพร่างกายและจิตใจของคุณแม่

การวางแผนดูแลตนเองหลังคลอด

  • วางแผนล่วงหน้า : ก่อนคลอด ควรวางแผนเกี่ยวกับการดูแลลูกและการจัดการกับความรับผิดชอบภายในครอบครัว เพื่อให้คุณแม่สามารถแบ่งเวลาในการพักผ่อนได้อย่างเพียงพอ
  • ขอความช่วยเหลือจากคนใกล้ชิด : คุณแม่ควรเตรียมตัวขอความช่วยเหลือจากคู่สมรสหรือสมาชิกในครอบครัวเพื่อแบ่งเบาภาระงานบ้านและการดูแลลูกน้อย

 

บทสรุป

โรคซึมเศร้าหลังคลอดเป็นโรคที่คุณแม่หลายคนอาจต้องเผชิญ มันไม่ใช่เรื่องผิดหรือแปลก การรับรู้และทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะมันไม่เพียงแต่ส่งผลต่อคุณแม่ แต่ยังส่งผลต่อครอบครัวและความสัมพันธ์กับลูก หากคุณแม่รู้สึกว่าตนเองเริ่มมีอาการซึมเศร้า การรับการรักษาที่เหมาะสมจะช่วยให้คุณแม่กลับมามีสุขภาพจิตที่ดีและสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกและครอบครัวได้อีกครั้ง

ภาวะอารมณ์เศร้าหลังคลอด "Baby Blues" กับโรคซึมเศร้าหลังคลอด “Postpartum depression” ต่างกันอย่างไร?

มีความคล้ายคลึงกันในแง่ที่เกิดขึ้นหลังคลอดและส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของคุณแม่ อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างในด้านความรุนแรงและระยะเวลาเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องเข้าใจ การรู้เท่าทันและดูแลสุขภาพจิตหลังคลอดจะช่วยให้คุณแม่ผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ได้อย่างมั่นใจ

คลิกขอคำปรึกษา



ศูนย์การรักษาที่เกี่ยวข้อง

สุขภาพจิต

แผนกสุขภาพจิต

สถานที่

อาคาร 4 ชั้น 1

เวลาทำการ

08:00 - 17:00 น.

เบอร์ติดต่อ

055-90-9000 ต่อ 520101, 520102

แพทย์ประจำศูนย์

แผนกสุขภาพจิต

แผนกสุขภาพจิต

แผนกสุขภาพจิต

พญ.ปุณยนุช ผลเงินชัย

จิตเวชศาสตร์

แพทย์แนะนำ

ศูนย์ศัลยกรรมทั่วไป

พญ.กิติยา จันทรวิถี

พญ.กิติยา จันทรวิถี

ศูนย์ศัลยกรรมทั่วไป

อายุรแพทย์โรคหัวใจและหลอดเลือด

นพ. ลิขิต กำธรวิจิตรกุล

ศัลยเเพทย์ออร์ปิดิกส์

บทความที่เกี่ยวข้อง

MFM ดูแลครรภ์คุณแม่ตั้งแต่วันแรกจนเจ้าตัวเล็กคลอด

“อายุเยอะ ภาวะครรภ์เสี่ยง วางใจให้ MFM ดูแล” ความกังวลถึงความแข็งแรงและความปลอดภัยของลูกน้อยในครรภ์ เป็นสิ่งที่คุณแม่มือใหม่ทุกคนต่างต้องเผชิญ โดยเฉพาะคุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีภาวะครรภ์เสี่ยงสูง ยิ่งต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ เพราะช่วงเวลาของการตั้งครรภ์คือช่วงเวลาที่คุณแม่ตั้งครรภ์และทารกในครรภ์ต้องได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง การได้รับการดูแลโดยแพทย์ที่มีความชำนาญเฉพาะทางเวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์ (MFM) จึงมีความสำคัญอย่างมากในการดูแลแบบเชิงลึก เพื่อให้คุณแม่ตั้งครรภ์มีสุขภาพที่แข็งแรงและทารกในครรภ์ลืมตาดูโลกอย่างราบรื่น พร้อมจะเติบโตอย่างมีคุณภาพในอนาคต

พญ.วิลาสินี ชาญสินธุ์ พญ.วิลาสินี ชาญสินธุ์

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
MFM ดูแลครรภ์คุณแม่ตั้งแต่วันแรกจนเจ้าตัวเล็กคลอด

“อายุเยอะ ภาวะครรภ์เสี่ยง วางใจให้ MFM ดูแล” ความกังวลถึงความแข็งแรงและความปลอดภัยของลูกน้อยในครรภ์ เป็นสิ่งที่คุณแม่มือใหม่ทุกคนต่างต้องเผชิญ โดยเฉพาะคุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีภาวะครรภ์เสี่ยงสูง ยิ่งต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ เพราะช่วงเวลาของการตั้งครรภ์คือช่วงเวลาที่คุณแม่ตั้งครรภ์และทารกในครรภ์ต้องได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง การได้รับการดูแลโดยแพทย์ที่มีความชำนาญเฉพาะทางเวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์ (MFM) จึงมีความสำคัญอย่างมากในการดูแลแบบเชิงลึก เพื่อให้คุณแม่ตั้งครรภ์มีสุขภาพที่แข็งแรงและทารกในครรภ์ลืมตาดูโลกอย่างราบรื่น พร้อมจะเติบโตอย่างมีคุณภาพในอนาคต

พญ.วิลาสินี ชาญสินธุ์ พญ.วิลาสินี ชาญสินธุ์

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
โภชนาการสำหรับหญิงตั้งครรภ์สำคัญอย่างไร

ปัจจุบันการเตรียมความพร้อมทางด้านสารอาหารมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะคนที่กำลังจะเตรียมตัวเป็นคุณแม่จำเป็นต้องมีการเสริมสารอาหารบางชนิดตั้งแต่ก่อนการตั้งครรภ์ เพื่อป้องกันโรคบางอย่างที่อาจเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ช่วงแรกของการตั้งครรภ์

โภชนาการสำหรับหญิงตั้งครรภ์สำคัญอย่างไร

ปัจจุบันการเตรียมความพร้อมทางด้านสารอาหารมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะคนที่กำลังจะเตรียมตัวเป็นคุณแม่จำเป็นต้องมีการเสริมสารอาหารบางชนิดตั้งแต่ก่อนการตั้งครรภ์ เพื่อป้องกันโรคบางอย่างที่อาจเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ช่วงแรกของการตั้งครรภ์