Header

โรคพาร์กินสัน อาการและการรักษา

blank โรงพยาบาลพิษณุเวช

มือสั่น จับไม่มั่นคง คือโรคพาร์กินสัน หรือสันนิบาต

โรคพาร์กินสัน (Parkinson's disease) หรือรู้จักกันในชื่อโรค “สันนิบาต” เกิดจากความเสื่อมของเซลล์ประสาทบริเวณก้านสมอง ทำให้ผลิตสารสื่อประสาทโดพามีน ลดลง ซึ่งสารนี้มีความสำคัญในการควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ ส่งผลให้เกิดความผิดปกติของการเคลื่อนไหว โดยเฉลี่ยจำนวนประชากรไทยทั่วประเทศมีความชุกของโรคนี้ ร้อยละ 0.24 หรือประมาณ 770,000 ราย โรคนี้พบได้ในผู้สูงอายุบ่อยกว่าวัยหนุ่มสาว โดยมักเกิดในผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี

สาเหตุของโรคพาร์กินสัน

ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้การผลิตสารโดพามีนลดลง แต่จากการวิจัยที่ผ่านมาพบว่าปัจจัยทางพันธุกรรมมีส่วนเกี่ยวข้อง ผู้ป่วยส่วนหนึ่งมีประวัติคนในครอบครัวป่วยเป็นโรคพาร์กินสัน ปัจจัยสิ่งแวดล้อมอื่น หรือสาเหตุอื่น ที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ คือ การรับประทานยาบางชนิด เช่น ยาแก้เวียนศีรษะ แก้มึนงง ยาแก้อาเจียน ยารักษาความผิดปกติทางจิตบางชนิด ยากล่อมประสาท เป็นต้น นอกจากนั้นอาจเกิดจากความผิดปกติในสมองจากสาเหตุอื่น ๆ เช่น หลอดเลือดสมองอุดตัน หลอดเลือดสมองแตก สมองขาดออกชิเจน สมองอักเสบ เนื้องอกสมอง โพรงน้ำในสมองขยายตัว หรือมีประวัติการบาดเจ็บทางศีรษะบ่อยครั้ง เป็นต้น

ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคพาร์กินสัน

  1. ปัจจัยจากสิ่งแวดล้อมภายนอก เช่น การใช้สารฆ่าแมลงทางการเกษตร การสัมผัสโลหะหนักเป็นเวลานาน ๆ (แมงกานีส, ทองแดง) ไม่ว่าจะโดยการสูดดมหรือการรับประทาน โดยเฉพาะคนที่อาศัยอยู่ในเขตอุตสาหกรรม 
  2. ปัจจัยทางพันธุกรรม ซึ่งสามารถพบได้จากการถ่ายทอดทางพันธุกรรมร้อยละ 10-15 และในครอบครัวมักจะมีประวัติผู้เป็นโรคพาร์กินสันตั้งแต่อายุยังน้อย

อาการโรคพาร์กินสัน

อาการผู้ป่วยพาร์กินสันที่เด่นชัด แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม

1.  อาการที่สัมพันธ์กับการเคลื่อนไหว มี 4 อาการหลัก

  1. อาการสั่น (Tremor) มือสั่น ใช้มือไม่คล่องเหมือนเดิม เช่น กลัดกระดุม เปิดฝาขวดน้ำ เขียนหนังสือ หรืออาจมือสั่นขณะอยู่นิ่ง แต่เวลาเคลื่อนไหวอาการมือสั่นกลับหายไป
  2. อาการแข็งเกร็ง (Rigidity) กล้ามเนื้อเกร็ง แขนขาเกร็งแข็ง จนบางครั้งอาจปวดหรือเกิดตะคริว ใบหน้าแสดงออกได้น้อย ยิ้มน้อย หรือไม่แสดงออกทางสีหน้า ไม่ค่อยกระพริบตา พูดเสียงเบาลง กลืนไม่คล่องเหมือนเดิม อาจมีน้ำลายหรือสำลักง่ายขึ้น
  3. อาการเคลื่อนไหวช้า (Bradykinesia) หรือเคลื่อนไหวน้อย  (Hypokinesia) เคลื่อนไหวร่างกายหรือทำอะไรได้ช้าลง ถ้าเป็นมากอาจเคลื่อนไหวไม่ได้เลย กลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง
  4. การทรงตัวที่ไม่มั่นคง (Postural instability) และการเดินผิดปกติ เดินลำบาก ก้าวขาไม่ค่อยออก ก้าวเท้าสั้น ๆ เดินซอยเท้าถี่ ศีรษะพุ่งไปข้างหน้าขณะเดิน หมุนกลับลำตัวลำบาก ล้มง่าย หลังค่อม

2. อาการที่ไม่สัมพันธ์กับการเคลื่อนไหว

  • ได้แก่ ท้องผูก จมูกไม่ได้กลิ่นหรือได้กลิ่นลดลง นอนละเมอ ความคิดช้าลง ความจำไม่ดี ซึมเศร้า นอนหลับไม่สนิท ฝัน นอนละเมอ ออกท่าทาง เขียนหนังสือตัวเล็กลง โดยอาการต่าง ๆ สามารถควบคุมได้ด้วยการรักษาทางยา แต่เมื่อป่วยเป็นระยะเวลานาน ๆ  (Advanced Parkinson’s disease) อาจจะไม่ตอบสนองต่อยาอีก นอกจากนี้เมื่อรับการรักษาด้วยยาเป็นระยะเวลานาน ยังส่งผลให้เกิดผลข้างเคียงจากยาได้

การดำเนินของโรคพาร์กินสัน แบ่งเป็น 3 ระยะ

  1. ระยะต้น ร่างกายตอบสนองต่อยาได้ดี ผู้ป่วยได้รับยาแล้วอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
  2. ระยะกลาง เกิดภาวะแทรกซ้อนจากการรักษา ยาออกฤทธิ์ได้สั้นลง จำเป็นต้องรับประทานยาบ่อยขึ้นจากเดิม มีอาการยุกยิก เคลื่อนไหวขยับไปมามากผิดปกติ ในบางช่วงเวลา
  3. ระยะท้าย ผู้ป่วยล้มบ่อย ไม่สามารถเดินเองได้ สมองเสื่อม เห็นภาพหลอนบ่อย

การตรวจวินิจฉัยโรคพาร์กินสัน

ผู้ที่เป็นพาร์กินสันส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับการตรวจวินิจฉัย เนื่องจากอาจยังไม่ตระหนักถึงอาการของโรค เพราะคิดว่าเกิดจากอายุที่มากขึ้น ทำให้เกิดผลเสียจากโรคตามมา เช่น หกล้ม กลืนอาหารลำบาก 

การคัดกรองโรคพาร์กินสัน

การคัดกรองเบื้องต้นอย่างง่ายด้วยตัวเองจะสามารถทำให้ค้นพบอาการป่วยได้ โดยวิธีการตรวจเช็กอาการใน 11 ข้อดังต่อไปนี้ หากมีอาการ 5 ข้อขึ้นไป ควรรีบปรึกษาแพทย์ หากมีอาการน้อยกว่า 5 ข้อ แนะนำให้ตรวจเช็กอาการเป็นระยะ
หากผู้ป่วยมีอาการดังกล่าว แพทย์จะชักถามประวัติเพิ่มเติมเกี่ยวกับสาเหตุ เช่น การรับยาต้านอาการจิตเวช การรับยาแก้อาเจียนคลื่นไส้ หรือแก้เวียนศีรษะ ประวัติอัมพฤกษ์อัมพาต เนื้องอกสมอง อาการโพรงสมองคั่งน้ำ เนื่องจากผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการพาร์กินสันแบบมีสาเหตุ จากนั้นจะหาข้อสนับสนุนและลักษณะอาการดำเนินโรคต่อไป

การรักษาโรคพาร์กินสัน

โรคพาร์กินสันไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ช่วยบรรเทาอาการไม่ให้แย่ลง โดยที่โรคพาร์กินสันจะมีความก้าวหน้าของโรคไปเรื่อย ๆ จากระดับเป็นเล็กน้อยไปจนถึงระดับรุนแรง เช่น จากที่เคยเดินได้กลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง เป็นต้น หากเป็นพาร์กินสันในระยะแรกการช่วยบริหารร่างกายจะเป็นประโยชน์กับผู้ป่วย

  1. การรักษาโดยการใช้ยา โดยมีเป้าหมายคือ เพิ่มการออกฤทธิ์ของสารโดพามีนในสมอง มีทั้งยารับประทานและการใช้แผ่นแปะ เพื่อให้ผู้ป่วยมีความสะดวกมากขึ้น และสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ใกล้เคียงกับภาวะปกติก่อนเป็นโรคพาร์กินสัน
  2. การรักษาทางเวชศาสตร์ฟื้นฟู เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตใกล้เคียงคนปกติที่สุด
    • การออกกำลังกาย  การเดิน เดินบนลู่วิ่ง ปั่นจักรยาน ออกกำลังกายในน้ำ ยกน้ำหนัก การฝึกนั่งยอง เต้นรำ โยคะ รำไทเก๊ก รำมวยจีน
    • การทำกายภาพบำบัด ฝึกเดิน ฝึกการทรงตัว
    • การฝึกพูด ฝึกกลืน
    • การทำกิจกรรมบำบัด ฝึกอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ช่วยให้ใช้มือได้คล่อง
  3. การรักษาโดยการผ่าตัด โดยการผ่าตัดฝังเครื่องกระตุ้นสมองส่วนลึกด้วยไฟฟ้า (Deep Brain Stimulation) และการผ่าตัดแบบทำลายโดยใช้คลื่นวิทยุ (Radiofrequency ablative surgery) มักใช้กับผู้ป่วยที่ยังมีอาการไม่หนักมาก หรือผู้ที่มีอาการแทรกซ้อนจากการรับประทานยา

การดูแลผู้ป่วยพาร์กินสัน

พาร์กินสัน เป็นอาการป่วยที่ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน การเคลื่อนไหวลำบาก ที่สำคัญเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้ และต้องได้รับความเข้าใจจากคนรอบข้างและสังคม การดูแลที่ถูกต้องเหมาะสมจะเป็นผลดีต่อตัวผู้ป่วยเอง

  1. คนรอบข้างควรช่วยผู้ป่วยในการบริหารร่างกาย ป้องกันการเกิดข้อยึดติด เช่น การแกว่งแขวน การเดินก้าวเท้ายาว ยกเท้าสูงขึ้น
  2. แนะนำการบริหารลูกตาด้วยการกลอกลูกตาไปมา การดูกีฬาที่มีการโต้ตอบไปมา เช่น เทนนิส ปิงปอง
  3. ในระยะแรก หากผู้ป่วยยังสามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ เช่น การปั่นจักรยาน ก็อาจให้ผู้ป่วยทำกิจกรรมดังกล่าวได้
  4. ระวังเรื่องอุบัติเหตุ ปัญหาการกลืน การพูด
  5. ควรรับประทานอาหารที่มีกากใย เพื่อป้องกันอาการท้องผูก
  6. ผู้ดูแลต้องทำความเข้าใจผู้ป่วยและดูแลสภาพจิตใจอยู่เสมอ เนื่องจากผู้ป่วยบางรายอาจมีปัญหาการนอนไม่หลับ วิตกกังวล หรือซึมเศร้า

ที่มา : โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ ,โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ,โรงพยาบาลราชวิถี ,คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ,คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่



อาการ ใช่ ไม่ใช่
1. มือหรือขาเคยมีอาการสั่น    
2. ลุกขึ้นจากเก้าอี้ลำบาก    
3. เดินก้าวเท้าสั้น ๆ และเดินซอยเท้าถี่    
4. แขนแกว่งน้อยลงเวลาเดิน    
5. หลังคู้งอเวลาเดิน    
6. หมุนตัวกลับเวลาเดินได้ลำบาก    
7. เคยมีคนบอกว่าเสียงเบาลงกว่าเมื่อก่อน    
8. พลิกตัวได้ลำบากเวลานอน    
9. เขียนหนังสือช้าลงหรือเขียนหนังสือตัวเล็กลงกว่าเดิม    
10. ทำอะไรได้ช้าลงกว่าเมื่อไม่นานมานี้ เช่น อาบน้ำ แต่งตัว หวีผม    
11. รู้สึกว่ากลัดกระดุมหรือเปิดฝาขวดน้ำได้ลำบากกว่าเดิม    
รวม    
ศูนย์การรักษาที่เกี่ยวข้อง

อายุรกรรม

แผนกอายุรกรรม

สถานที่

อาคาร 4 ชั้น 1

เวลาทำการ

07:00 - 22:00 น.

เบอร์ติดต่อ

055-90-9000 ต่อ 520101 และ 520102

แพทย์แนะนำ

ศูนย์ศัลยกรรมทั่วไป

พญ.กิติยา จันทรวิถี

พญ.กิติยา จันทรวิถี

ศูนย์ศัลยกรรมทั่วไป

อายุรแพทย์โรคหัวใจและหลอดเลือด

นพ. ลิขิต กำธรวิจิตรกุล

ศัลยเเพทย์ออร์ปิดิกส์

บทความที่เกี่ยวข้อง

ภาวะสมองเสื่อม

สมองเสื่อม คือ ภาวะที่มีการสูญเสียความสามารถทางสมอง เช่น ความจำ การรับรู้ ความเข้าใจ การใช้ภาษา ทิศทาง การใช้เหตุผล และการแก้ปัญหา มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและบุคลิกภาพ โดยมีผลกระทบต่อความสามารถในการประกอบกิจวัตรประจำวันและการเข้าสังคม

blank โรงพยาบาลพิษณุเวช

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
ภาวะสมองเสื่อม

สมองเสื่อม คือ ภาวะที่มีการสูญเสียความสามารถทางสมอง เช่น ความจำ การรับรู้ ความเข้าใจ การใช้ภาษา ทิศทาง การใช้เหตุผล และการแก้ปัญหา มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและบุคลิกภาพ โดยมีผลกระทบต่อความสามารถในการประกอบกิจวัตรประจำวันและการเข้าสังคม

blank โรงพยาบาลพิษณุเวช

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม