ภาวะสมองเสื่อม
24 พฤศจิกายน 2566
ภาวะสมองเสื่อม (Dementia) คือ กลุ่มอาการที่เกิดจากระบบประสาทของสมองที่ค่อย ๆ เสื่อมลง ซึ่งผู้ป่วยไม่ได้มีเพียงแค่ความบกพร่องในด้านความทรงจำเท่านั้น แต่จะรวมถึงด้านอื่น ๆ ด้วย ได้แก่ การใช้ความคิด การตัดสินใจ ความเข้าใจสิ่งต่าง ๆ การเรียนรู้ การใช้ภาษา หรือการเปลี่ยนแปลงทางด้านอารมณ์ เป็นต้น
นอกจากนี้ภาวะสมองเสื่อม เป็นภาวะที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไป จะมีภาวะสมองเสื่อมเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าของประชากร และในทุก ๆ 5 ปี จะเพิ่มมากขึ้นถึงร้อยละ 2-5 ในเพศหญิงจะมีภาวะสมองเสื่อมมากกว่าเพศชาย และร้อยละ 5 พบว่า ภาวะสมองเสื่อมเกิดจากกรรมพันธุ์
10 สัญญาณเตือน บ่งบอกความเสี่ยงภาวะสมองเสื่อม
- สูญเสียความจำระยะสั้น หลงลืมจนมีผลกระทบต่อการประกอบกิจวัตรประจำวัน ถามย้ำซ้ำไปมา ลืมว่าเมื่อครู่พูดอะไร ลืมนัดหมายสำคัญ
- ทำกิจกรรมที่เคยทำประจำไม่ได้ เช่น ลืมเครื่องปรุงอาหารที่เคยทำประจำ หรือลืมว่าต้องใส่อะไรก่อนหลัง
- มีปัญหาในการใช้ภาษา เช่น ใช้คำผิด พูดไม่รู้เรื่อง เรียงลำดับคำผิด คิดไม่ออกว่าใช้คำอะไร
- สับสนเรื่องเวลา สถานที่และทิศทาง หลงทิศทาง ทั้ง ๆ ที่เป็นสถานที่ที่คุ้นเคย เช่น มักหลงทางกลับบ้านไม่ถูก หาทางเข้าห้องน้ำในบ้านไม่พบ
- ดุลยพินิจบกพร่อง วิจารณญาณไม่ดี เช่น ตัดสินใจและแยกความแตกต่างเรื่องระยะทาง สีสัญญาณไฟจราจรไม่ได้ จนอาจเป็นปัญหาด้านการขับรถ
- สติปัญญาด้อยลง คิดหรือทำเรื่องซับซ้อนไม่ได้ เช่น เคยคิดเลขได้ แต่กลับคิดเลขง่าย ๆ ไม่ได้
- วางของผิดที่ผิดทาง เช่น เอารีโมทโทรทัศน์ไปไว้ในตู้เย็น เก็บเสื้อผ้าในตู้กับข้าว
- อารมณ์เปลี่ยนแปลงง่ายและรวดเร็ว เช่น เดี๋ยวร้องไห้ เดี๋ยวโกรธแล้วก็นิ่ง เฉยเมย ไม่มีอารมณ์ ไม่ยินดียินร้ายต่อสิ่งรอบตัว
- บุคลิกภาพเปลี่ยนไป มีพฤติกรรมที่แต่ก่อนไม่เคยเป็นมาก่อน เช่น จากที่เป็นคนเงียบ ๆ กลายเป็นคนช่างพูด แต่งตัวผิดกาละเทศะ ใส่เสื้อหนาวทั้งที่อากาศร้อนจัด ใส่กางเกงในทับกางเกงขายาว ใส่ยกทรงทับเสื้อตัวนอก
- ขาดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เป็นคนเฉื่อย ๆ ซึม ไม่กระตือรือร้น เช่น นั่งเหม่อลอยเป็นชั่วโมง
อาการของสมองเสื่อม
อาการเริ่มแรกของผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อม จะปรากฏให้เห็นในด้านของความจำระยะสั้น เป็นลำดับแรก เช่น พูดเรื่องซ้ำ ๆ เดิม ๆ และหากมีอาการหลงลืมในระดับเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ความสามารถในการใช้ภาษาและความสามารถในการประกอบกิจวัตรประจำวันลดลง นำไปสูงภาวะพึ่งพิงตามมา นอกจากนี้อาจพบอาการทางจิตที่มักเกิดขึ้นร่วมด้วย เช่น อารมณ์เปลี่ยนแปลง หงุดหงิด หวาดระแวงกลัวคนจะมาทำร้าย หรือกลัวคนจะมาขโมยของ หลงผิดคิดว่าคู่สมรสนอกใจ เป็นต้น
จะเห็นว่า ภาวะสมองเสื่อมไม่มีได้ผลกระทบเฉพาะกับผู้ป่วยเท่านั้น หากแต่ส่งผลกระทบต่อผู้ดูแลใกล้ชิด หรือบุคคลในครอบครัวอีกด้วย ดังนั้นการตรวจพบภาวะสมองเสื่อมตั้งแต่ระยะเริ่มต้น และเริ่มการรักษาอย่างรวดเร็ว จะช่วยชะลอการดำเนินของโรค และลดความรุนแรงของอาการทางจิตอีกด้วย
ระยะแรก ภาวะสมองเสื่อมระดับเล็กน้อย
มักจะจำเรื่องบางอย่างไม่ได้ โดยเฉพาะเรื่องที่เพิ่งพูดหรือการกระทำที่เพิ่งจะทำไป แต่ความจำที่เป็นระยะก่อน เช่น ความจำในช่วงวัยหนุ่มสาวจะจำได้ดี จะเล่าเรื่องเก่า ๆ ซ้ำ แต่ถ้าให้เล่าหลายครั้งรายละเอียดจะบิดเบือน มักจะพูดหรือถามซ้ำ ๆ โทรศัพท์ไปหาลูกวันละหลาย ๆ ครั้งเพื่อบอกเรื่องเดิม ถ้ามีคนเอาของมาให้ก็จะบอกไม่ได้ว่าใครเอามาให้ นอกจากนี้จะมีปัญหาในการใช้ภาษา เรียกสิ่งของที่เป็นชื่อเฉพาะได้ลำบาก อาจจะไม่สามารถเรียกนาฬิกาได้ถูกต้อง แต่รู้ว่านาฬิกาเอาไว้ใช้ดูเวลา สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ แต่ทำได้ช้าลงกว่าเดิม ยิ่งของที่ใช้หรือรู้จักน้อยจะยิ่งพูดไม่ถูก อาจจะทิ้งสิ่งของไว้เลอะเทอะ
สิ่งที่ควรทำในระยะนี้
- ผู้ป่วยที่มีปัญหาด้านความจำ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษา เพราะการได้รับการตรวจวินิจฉัยในระยะแรก อาจทำให้การดูแลต่าง ๆ ทำได้ดีกว่า
- ใช้อุปกรณ์ช่วยจำ เช่น การจดบันทึก เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยยังสามารถดำเนินชีวิตได้ด้วยตนเอง
- เริ่มพูดคุยกับผู้ป่วยด้วยความระมัดระวัง ในเรื่องที่ผู้ป่วยยังสามารถตัดสินใจได้เอง เช่น การตัดสินใจในการรักษาพยาบาล การจัดการทรัพย์สิน
ระยะที่ 2 ผู้ป่วยมีอาการสับสนมากขึ้น
ผู้ป่วยไม่สามารถปกปิดความผิดปกติของความจำได้ สามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ความจำระยะสั้นผิดปกติ พูดซ้ำ ถามซ้ำ ผู้ป่วยจะเริ่มมีปัญหาในการดูแลสุขอนามัยส่วนตัว เช่น การอาบน้ำ แปรงฟัน การควบคุมการขับถ่าย การแต่งตัว การรับประทานอาหาร จะต้องได้รับการช่วยเหลือจากผู้ดูแลในการทำกิจวัตรประจำวัน
สิ่งที่ควรทำในระยะนี้
- จัดการทรัพย์สิน พินัยกรรม และการตั้งผู้พิทักษ์การตัดสินใจ ในการรักษาพยาบาล โดยปรึกษากับทนายความหรือนักกฎหมาย
- ผู้ป่วยเริ่มมีความไม่ปลอดภัยหากอยู่คนเดียว จำเป็นต้องได้รับการดูแลเรื่องการกินอาหาร การกินยา การดูแลความปลอดภัย และการเข้าสังคม
- เฝ้าระวังดูความสามารถในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ของผู้ป่วย เช่น การทำอาหาร การใช้จ่าย
- จัดกิจกรรมที่มีการพัฒนาสมอง เช่น เล่นเกมส์ เล่นหมากกระดาน
- พาไปทำกิจกรรมต่าง ๆ ในสังคม เช่น ร้องเพลง เต้นรำ
- เริ่มพิจารณาการดูแลระยะยาวที่เหมาะสมกับผู้ป่วย
- จัดการกับความเครียดของผู้ดูแล
ระยะที่ 3 ผู้ป่วยจะสูญเสียความจำระยะยาว
ผู้ป่วยจะสูญเสียความจำระยะยาว เช่น จำเหตุการณ์สมัยตนยังเด็กไม่ได้ จำญาติใกล้ชิดไม่ได้ มีปัญหาเรื่องการทรงตัว การยืน การเดิน และบางรายอาจมีพฤติกรรมเดินไปเดินมาไร้จุดหมาย หรือหลงออกนอกบ้านแล้วจำทางกลับบ้านไม่ได้ ในระยะนี้ผู้ป่วยจะต้องพึ่งพาผู้ดูแลในทุก ๆ ด้านของชีวิต
สิ่งที่ควรทำในระยะนี้
- ผู้ป่วยมีปัญหาในการสื่อสาร ผู้ดูแลต้องสังเกต เรียนรู้ถึงการแสดงออกของผู้ป่วยว่าต้องการสื่อถึงอะไร เช่น หิว ปวด
- เรียนรู้การดูแลผู้ป่วยในระยะสุดท้ายที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ เช่น การทำแผล การให้อาหาร
- จัดการความเครียดของผู้ดูแล
สาเหตุของสมองเสื่อม
ภาวะสมองเสื่อมมีสาเหตุมาจากความเสียหาย หรือความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับสมอง ส่วนใหญ่แล้วภาวะสมองเสื่อมจะไม่สามารถรักษาให้กลับคืนเป็นปกติได้ และอาการมักเป็นมากขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น
สาเหตุของสมองเสื่อมที่มักพบบ่อย
-
สาเหตุของภาวะสมองเสื่อมชนิดที่ไม่สามารถกลับคืนเป็นปกติ ที่พบบ่อยมีดังนี้
• โรคอัลไซเมอร์ เป็นสาเหตุของภาวะสมองเสื่อมที่พบบ่อยที่สุด มักจะเกิดกับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปี ขึ้นไป ผู้ป่วยจะมีปัญหาด้านความจำเป็นหลัก
• โรคสมองเสื่อม จาก ลิววี บอดี สามารถทำให้เสียความทรงจำในระยะสั้น และยังทำให้มีปัญหาในการนอนหลับ อาการประสาทหลอน หรือร่างกายขาดสมดุล
• โรคสมองส่วนหน้าเสื่อม ผู้ป่วยจะมีบุคลิกที่เปลี่ยนแปลงไป หรือทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น พูดจาหยาบคาย หรือแสดงกริยาที่ไม่เหมาะสมต่อผู้อื่น
• โรคพาร์กินสัน ผู้ป่วยจะมีปัญหาในการเคลื่อนไหวที่ช้าลง มีอาการมือสั่นขณะพัก และการทรงตัวที่แย่ลงร่วมด้วย
• ภาวะสมองเสื่อมที่มาจากโรคหลอดเลือดสมองขาดเลือด มักจะเกิดในผู้ป่วยเป็นโรคสมองขาดเลือด มีความเสี่ยง เช่น ความดันโลหิตสูงระยะยาว โรคหลอดเลือดแดงแข็ง โรคเบาหวาน
• โรคสมองเสื่อมภายหลังจากการได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะอย่างรุนแรง
-
สาเหตุของภาวะสมองเสื่อมชนิดที่อาจรักษาให้กลับคืนเป็นปกติได้ ที่พบบ่อยมีดังนี้
• ผลข้างเคียงจากการใช้ยา
• ภาวะขาดไทรอยด์
• ภาวะโพรงสมองคั่งน้ำ
• การขาดวิตามิน บี 12
• เนื้องอกในสมอง
การวินิจฉัยภาวะสมองเสื่อม
จะอาศัยการตรวจร่างกายและตรวจสอบประวัติทางการแพทย์ของผู้ป่วย หากสงสัยว่ามีภาวะสมองเสื่อม แพทย์จะตรวจเพิ่มเติม ได้แก่ ตรวจร่างกายทางระบบประสาท ตรวจสอบสุขภาวะทางจิต ตรวจทางห้องปฏิบัติการ และตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์
เมื่อมีอาการน่าสงสัยควรปรึกษาแพทย์ ซึ่งแพทย์จะดำเนินการตรวจดังนี้
• ซักประวัติและตรวจร่างกาย ผู้ป่วยมักให้ประวัติไม่ได้ เนื่องจากหลงลืม ต้องซักประวัติจากญาติหรือผู้ดูแล โดยจะถามเรื่องอาการหลงลืม พฤติกรรม อารมณ์ ความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวัน ยาที่ใช้ประจำ เริ่มมีอาการเมื่อใด เป็นต้น
• ประเมินเบื้องต้นว่ามีอาการซึมเศร้าหรือไม่ ผู้ป่วยที่มีภาวะซึมเศร้าอาจความจำไม่ดี และเมื่อรักษาภาวะซึมเศร้าแล้วความจำจะดีขึ้น
• ทดสอบความจำ โดยประเมินความจำที่มีความยาก ง่าย และใช้ระยะเวลาแตกต่างกัน ตามระดับความรุนแรงของผู้ป่วยและระดับการศึกษาเดิมของผู้ป่วย
• ตรวจเลือด เพื่อหาสาเหตุอื่นที่อาจทำให้ความจำไม่ดี เช่น ไทรอยด์ทำงานน้อยไป เกลือแร่ผิดปกติ ขาดสารอาหารหรือวิตามินบางชนิด โรคซิฟิลิส
• การตรวจอื่นๆ ซึ่งพิจารณาทำเฉพาะในรายที่มีข้อบ่งชี้ เพื่อช่วยในการวินิจฉัยโรค เช่น การตรวจสมองด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์หรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
การรักษาภาวะสมองเสื่อม
ภาวะสมองเสื่อมที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่จะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เช่น อัลไซเมอร์ โรคสมองเสื่อมจาก ลิววี บอดี โรคสมองส่วนหน้าเสื่อม การรักษาจะเพื่อบรรเทา และชะลอการดำเนินโรค ไม่ให้อาการแย่ลงอย่างรวดเร็ว เพื่อคุณภาพชีวิตของทั้งผู้ป่วยและผู้ดูแลดีขึ้น
1. การรักษาด้วยยา
- ยากลุ่มที่ต้านการทำลายของสารสื่อประสาทชนิดโคลีน ซึ่งมีกลไกการทำงานไปกระตุ้นการรับรู้ที่เกี่ยวกับความทรงจำและการตัดสินใจ ยากลุ่มนี้มีด้วยกัน 3 ตัว ได้แก่ ยาโดนีพีซิล (donepezil) ยาไรวาสติกมีน (Rivastigmine) และยากาแลนตามีน (galantamine) ผลข้างเคียงของยากลุ่มนี้ คือ คลื่นไส้ อาเจียน และท้องเสีย
- ยาที่ปิดกั้นการทำงานของสารสื่อประสาทชนิดกลูตาเมทที่ระดับต่ำแบบชั่วคราว (ยาเมแมนทีน/memantine) บางกรณีแพทย์จะจ่ายยานี้ให้พร้อมกับยากลุ่มที่ต้านการทำลายของสารสื่อประสาทชนิดโคลีน
- ยาฉีดที่ออกฤทธิ์ต้านการสร้างอะไมลอยด์ (anti-amyloid therapy)
- แพทย์อาจจ่ายยาที่รักษาอาการอื่น ๆ เช่น นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย หรือภาวะซึมเศร้า
2. การบำบัด
- ปรับเปลี่ยนการทำงาน เช่น มีการวางแผนและจัดเตรียมขั้นตอนการทำงานให้เรียบร้อย
- ปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อม จัดข้าวของให้เป็นระเบียบ และตัดเสียงรบกวน จะช่วยให้ผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อมจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ดีขึ้น
- •บำบัดกับนักกิจกรรมบำบัด มีจุดประสงค์เพื่อป้องกันเหตุฉุกเฉินต่าง ๆ เช่น การตกจากที่สูง หรือการควบคุมอารมณ์ หรือพฤติกรรมต่าง ๆ
ภาวะแทรกซ้อนของภาวะสมองเสื่อม
- การสื่อสาร ผู้ป่วยไม่สามารถสื่อสารหรือแสดงความรู้สึกไปยังผู้อื่นได้
- ดูแลตนเองไม่ได้ ในกระบวนการเกิดภาวะสมองเสื่อม อาจทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถอาบน้ำ แต่งตัว หวีผม แปรงฟัน เข้าห้องน้ำ หรือการรับประทานยาได้ถูกต้อง นำไปสู่สภาะพึ่งพิง
- ภาวะขาดสารอาหารหรือขาดน้ำ ผู้ป่วยสมองเสื่อมมักจะลดการบริโภคอาหาร และในที่สุดจะไม่สามารถเคี้ยวหรือกลืนอาหารได้
- ปอดอักเสบติดเชื้อ เมื่อผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อมเกิดความยากลำบากในการกลืนอาหาร อาจทำให้สำลักเอาเศษอาหารเข้าไปในปอด ทำให้อุดกั้นทางเดินหายใจและทำให้เกิดปอดอักเสบติดเชื้อได้ในที่สุด
การป้องกัน และการชะลอการดำเนินภาวะสมองเสื่อม
ภาวะสมองเสื่อมป้องกันได้ยากเพราะมักไม่ทราบสาเหตุ แต่อาจจะสามารถลดโอกาสการเป็นสมองเสื่อมลงได้ โดยการดูแลสุขภาพโดยรวมให้มีความสมบูรณ์แข็งแรง ซึ่งมีแนวทางง่าย ๆ ดังนี้
- รับประทานอาหารสุขภาพและมีประโยชน์ เน้นการรับประทานผักและผลไม้ เช่น อาหารเมดิเตอร์เรเนียน เพื่อลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของภาวะสมองเสื่อม
- ได้รับวิตามิน ดี อย่างเพียงพอ จากการรับประทานอาหารเสริมหรือจากแสงแดด เนื่องจากการวิจัยพบว่า ผู้ที่มีระดับวิตามิน ดี ต่ำมีโอกาสที่จะเกิดโรคอัลไซเมอร์หรือเกิดภาวะสมองเสื่อมได้
- เลิกบุหรี่ ทำให้สุขภาพดีขึ้น และสามารถช่วยลดความเสี่ยงของภาวะสมองเสื่อม
- รักษาระดับความดันโลหิต ผู้ที่มีความดันโลหิตสูงมีโอกาสเสี่ยงสูงที่จะทำให้เกิดภาวะสมองเสื่อมบางชนิด
- เข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมและกิจกรรมต่าง ๆ จะช่วยชะลอการเกิดสมองเสื่อม
- รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เพื่อลดความเสี่ยงของภาวะสมองเสื่อมรวมไปถึงโรคเรื้อรังอื่น ๆ
- ออกกำลังกายเป็นประจำให้ได้ 150 นาที ต่อสัปดาห์
- ทำอารมณ์ให้แจ่มใสและเรียนรู้สิ่งใหม่อยู่เสมอ เพื่อเป็นการฝึกสมอง ไม่ว่าจะเป็นงานอดิเรก เช่น การอ่านหนังสือ หรือเล่นเกมเสริมทักษะความรู้ต่าง ๆ
ภาวะสมองเสื่อม และอัลไซเมอร์ เหมือนกันหรือไม่?
อัลไซเมอร์เป็นโรคหนึ่งในกลุ่มอาการสมองเสื่อม และเป็นสาเหตุของโรคสมองเสื่อมที่พบบ่อยที่สุด คือ ประมาณ 65% ของโรคสมองเสื่อมทั้งหมด โดยผู้ป่วยอัลไซเมอร์จะมีความผิดปกติอย่างช้า ๆ เป็นปี ทำให้ผู้ใกล้ชิดบอกจุดเริ่มต้นของอาการไม่ชัดเจน โดยมากอาการที่เด่นชัดจะเป็นปัญหาเรื่องความจำและพฤติกรรม ที่สำคัญ คือ อาการผิดปกตินั้นจะต้องเป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ สาเหตุของการเกิดโรคในปัจจุบันยังไม่ทราบแน่ชัด ทราบแต่ว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในสมอง จนทำให้สมองทำหน้าที่ลดลงและเหี่ยวไป ความผิดปกติเกิดจากปัจจัยทางพันธุกรรม สิ่งแวดล้อม และพฤติกรรมการดำเนินชีวิตประจำวันโรคนี้ไม่ได้เป็นโรคติดต่อทางพันธุกรรม แต่อาจถ่ายทอดในครอบครัวทางพันธุกรรมได้ในผู้ป่วยส่วนน้อยปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ทำให้เกิดโรค ได้แก่ อายุที่มากขึ้น เพศ (พบโรคนี้ในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย) ผู้ที่มีการศึกษาน้อยหรือใช้สมองน้อย พันธุกรรม และโรคทางร่างกายบางชนิด เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ระดับไขมันในเลือดสูง
จะรู้อย่างไรว่าหลงลืมตามวัย (ขี้ลืม) หรือ อาการของภาวะสมองเสื่อม (หลงลืม)
การจำแนกว่าเป็นการลืมตามวัย หรือ การหลงลืมจากภาวะสมองเสื่อมมีหลักง่าย ๆ คือ หากจำได้ว่าลืมทำอะไร ถือเป็นการลืมธรรมดา แต่ถ้าจำไม่ได้เลยว่าเคยทำอะไรหรือลืมอะไร มักเป็นการลืมที่ผิดปกติไม่ธรรมดา อาจเป็นสัญญาณหนึ่งของภาวะสมองเสื่อมได้
ขี้ลืม ผู้ที่มีอาการขี้ลืมมักจะพอจำเหตุการณ์ได้เลา ๆ แต่จำรายละเอียดของเหตุการณ์ไม่ได้ เช่น ลืมว่าวางแว่นตาไว้ที่ไหน ไม่แน่ใจว่าล็อคประตูบ้านแล้วหรือยัง
หลงลืม ในขณะที่ผู้ที่มีอาการหลงลืมจากสมองเสื่อมมักจะจำไม่ได้เลยว่ามีเหตุการณ์นั้น ๆ เกิดขึ้น เช่น จำไม่ได้ว่าตนเองต้องใช้แว่นตา หรือจำไม่ได้เลยว่าบ้านตนเองอยู่ที่ใด โดยเฉพาะหากการลืมนั้นเป็นการลืมที่ก่อให้เกิดอันตรายได้ เช่น ลืมปิดเตาแก๊สบ่อยจนเกิดไฟไหม้ ควรสงสัยว่าไม่ใช่อาการขี้ลืมธรรมดา อาจมีภาวะสมองเสื่อมแล้ว จึงควรรีบไปพบแพทย์
สมองเสื่อมมีชีวิตอยู่ได้อีกนานแค่ไหน
เป็นการยากที่จะบอกว่าผู้ป่วยจะมีชีวิตได้อีกนานเท่าไร ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับโรคที่เป็นสาเหตุของสมองเสื่อม และสุขภาพโดยส่วนรวมของผู้ป่วย ถ้าหากมีสุขภาพแข็งแรงดี อาการของโรคจะดำเนินไปอย่างช้า ๆ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ผู้ป่วยมีปัญหาสุขภาพอื่น ๆ จนถึงขนาดต้องเข้าโรงพยาบาล อาการสมองเสื่อมจะเลวลงอย่างมาก
ผู้ดูแลควรจะต้องดูแลผู้ป่วยที่มีภาวะสมองเสื่อม ดังนี้
- ให้รับประทานอาหารอย่างเพียงพอ มีสารอาหารครบถ้วน
- ให้ออกกำลังกายหรือเคลื่อนไหวร่างกายสม่ำเสมอ เพื่อให้มีการทรงตัวที่ดี ลดโอกาสที่จะหกล้มได้ง่าย
- ระมัดระวังอย่าให้เจ็บป่วยง่าย เช่น ไข้หวัด ท้องเสีย เป็นต้น
- ระมัดระวังอย่าใช้ยาโดยไม่จำเป็น เพราะยาบางอย่างทำให้อาการสมองเสื่อมเร็วลง
ปัญหาในการดูแลผู้ป่วยที่มีภาวะสมองเสื่อมและวิธีการแก้ไข
ผู้ดูแลและครอบครัวของผู้ป่วยต้องทำความเข้าใจกับภาวะสมองเสื่อมเพื่อจะได้เข้าใจผู้ป่วยได้ดี มีความอดทนและใจเย็นในการดูแลผู้ป่วย
ปัญหาหลักของผู้ป่วยที่มีภาวะสมองเสื่อม
- ปัญหาความจำ อาการหลงลืม ไม่สามารถจำสิ่งใหม่ ๆ และความสามารถในการจำปัจจุบันลดน้อยลงไปเรื่อย ๆการแก้ไข : ให้อยู่กับบุคคลหรือสถานที่คุ้นเคย ชักชวนทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อทบทวนความจำ
- ปัญหาทางอารมณ์ ตื่นกลัว กังวล หงุดหงิดง่าย สิ้นหวัง ซึมเศร้าการแก้ไข : พูดให้กำลังใจ หากิจกรรมที่ชอบและคุ้นเคย พูดคุยให้ความสนใจ ใช้ยาช่วย จัดสภาพแวดล้อมที่สดชื่น ปรึกษาแพทย์เพื่อดูแลสุขภาพกายและจิตของผู้ดูแลด้วย
- ปัญหานอนไม่หลับ อาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงวงจรการนอน สับสนเพราะการรับรู้เสื่อมการแก้ไข : เพิ่มกิจกรรมช่วงกลางวัน งดนอนกลางวัน เข้านอนเป็นเวลา หลีกเลี่ยงชา กาแฟ ให้ดื่มนมอุ่น ๆ หรือกินกล้วยก่อนนอน จัดสภาพเตียง ที่นอน ห้องนอน ให้เหมาะสม
- ปัญหาทางพฤติกรรม ความจำ การรับรู้ การเรียนรู้แย่ ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ เช่น การแต่งตัว พฤติกรรมบางอย่างไม่เหมาะสม เช่น เดินออกจากบ้าน พูดซ้ำ ๆ ตะโกน วุ่นวาย ก้าวร้าว เดินหลงทาง หกล้ม เฉยเมย
การแก้ไข : ครอบครัว ผู้ดูแล และสังคม ต้องพยายามเข้าใจอาการเหล่านี้ ว่าผู้ป่วยต้องการอะไร เช่น รับฟัง ให้ผู้ป่วยอธิบายถึงเหตุผล เบี่ยงเบนความสนใจไปเรื่องอื่น ๆ สนใจแต่ไม่ใส่ใจ หากมี การตะโกนเสียงดังโดยไม่มีสาเหตุ และขอให้หยุดยาก ลองพยายามเรียกคนที่ผู้ป่วยรัก (แม้ว่าคนนั้นจะไม่อยู่)
• ปัญหาเดินไปเดินมา
เดินไปเดินมาบ่อย ๆ โดยไม่มีสาเหตุ
การแก้ไข : ให้หาสาเหตุว่าจากอะไร เช่น เบื่อ กังวล การรับรู้เสียไป แล้วบอกผู้ป่วยว่าอยู่ที่ไหน เวลาอะไร เสริมกิจกรรมให้มากขึ้น เช่น ออกกำลังกาย เดินเล่น ขจัดสาเหตุที่อาจกระตุ้น
• ปัญหาอาการทางจิต
หลงผิด หวาดระแวง หูแว่ว ภาพหลอน
การแก้ไข : อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่คุ้นเคย พูดคุยทบทวนความจำ พูดคุยให้รู้สึกมั่นคงทางจิตใจ
• ปัญหาการสื่อภาษา
ใช้ภาษาหรือไวยากรณ์เพี้ยน ไม่สามารถสื่อภาษาให้ผู้อื่นเข้าใจ ไม่เข้าใจการสื่อสารของผู้อื่น การแปลภาพผิด
การแก้ไข : ตรวจตา หู ฟันปลอม (พูดไม่ชัด) ใช้ข้อความสั้น ๆ เข้าใจง่าย ใช้ภาษากาย ยิ้มแย้ม อดทน ตั้งใจฟังให้ละเอียด มีความช่างสังเกต
การเตรียมความพร้อมสำหรับผู้ดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อม
1.เรียนรู้และทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาวะสมองเสื่อม เพื่อให้เข้าใจการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น วิธีการดูแลทั้งเรื่องอาหารและสภาพแวดล้อม โดยหาหนังสือที่เกี่ยวข้องกับภาวะสมองเสื่อมอ่าน หรือปรึกษาแพทย์ หรือเข้าอบรมผู้ดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อม ยิ่งมีความเข้าใจมากขึ้นเท่าใด จะทำให้สามารถหาวิธีดูแล และแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้เหมาะสมยิ่งขึ้น
2. ปรับสถานที่อยู่อาศัยให้ปลอดภัย
- เก็บสิ่งของที่จะเป็นอันตรายทำให้เกิดอุบัติเหตุหรือไฟไหม้ได้ง่าย เช่น กาต้มน้ำ ปลั๊กไฟ เตาแก๊ส
- ใช้เฟอร์นิเจอร์ที่มั่นคง
- ทำหน้าต่าง / ประตู ที่ยากต่อการเปิด
- มีแสงสว่างเหมาะสม
3. เตรียมแผนสำรอง ในกรณีที่ผู้ดูแลมีภารกิจส่วนตัวจำเป็น เจ็บป่วย ทุกคนในครอบครัวต้องมีส่วนร่วม ไม่ทิ้งภาระทั้งหมดให้กับผู้ดูแลหลักเพียงคนเดียว สมาชิกคนอื่นในครอบครัวต้องเข้ามาช่วยผลัดเปลี่ยนดูแลผู้ป่วยบ้าง เพื่อให้ผู้ดูแลหลักได้พักหรือมีเวลาเป็นของตนเองบ้าง
4.ดูแลตัวเอง การที่เราจะสามารถให้การดูแลผู้อื่นได้ดีขึ้น เราต้องสามารถดูแลตนเองให้มีสุขภาพดี ทั้งร่างกายและจิตใจก่อนเสมอ
สรุป
สมองเสื่อมไม่ใช่ภาวะปกติที่พบได้ทั่วไปในผู้สูงอายุ เมื่อคนเรามีอายุมากขึ้นอาจจะมีอาการหลงลืมได้บ้าง ลืมแล้วจำได้ว่าลืมอะไร แต่อาการหลงลืมของคนที่มีภาวะสมองเสื่อมจะเป็นไปอย่างต่อเนื่องและเพิ่มความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ที่สำคัญจะจำเหตุการณ์และเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่ได้เลย รวมทั้งสิ่งที่ตัวเองกระทำลงไปด้วย เมื่ออาการมากขึ้นจะพูดบอกความต้องการหรือความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ ญาติหรือคนใกล้ชิดผู้สูงอายุ จะเป็นผู้ที่มีความสำคัญอย่างมากในการให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์และมีความน่าเชื่อถือมากที่สุดในการวินิจฉัยภาวะสมองเสื่อม หากสงสัยว่าผู้สูงอายุอาจมีภาวะสมองเสื่อมควรรีบพาไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม และต้องยอมรับว่าภาวะสมองเสื่อมส่วนมากไม่สามารถรักษาให้หายขาด แต่บางสาเหตุสามารถรักษาหรือชะลอความเสื่อมได้ การรักษาตั้งแต่เริ่มมีอาการระยะแรกจะเป็นผลดีต่อผู้ป่วยมาก ทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีในช่วงเวลาที่เหลืออยู่และลดภาระแก่ผู้ดูแลและครอบครัว เราทุกคนสามารถชะลอความเสื่อมของสมองได้ การกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ถือว่าเป็นเรื่องพื้นฐานสำคัญในการดูแลตัวเองเพื่อป้องกันภาวะสมองเสื่อม นอกจากนี้การบริหารสมองเป็นประจำยังเป็นวิธีการช่วยป้องกันได้ดีด้วย โดยเฉพาะในผู้สูงอายุสามารถบริหารสมองด้วยวิธีง่าย ๆ เช่น การท่องบทสวดมนต์ การร้องเพลง นอกจากจะเป็นการฝึกความจำแล้ว เสียงสูง ๆ ต่ำ ๆ จากการสวดมนต์หรือร้องเพลงยังทำให้สมองทำงานได้ดีด้วย รวมถึงทำให้เกิดสมาธิ การฝึกตัวเองเสมอ ๆ จะทำให้การลืมลดลง
"สัญญาณอันตราย ภาวะสมองเสื่อม"
- ถามซ้ำ ๆ และเล่าเรื่องเดิมซ้ำ ๆ
- จำเรื่องที่เพิ่งเกิดไม่ได้
- สับสนเรื่องทิศทางที่คุ้นเคย
- ใช้ภาษาสื่อสารได้ลดลง
- พฤติกรรมเปลี่ยนแปลง
หากมีคำถาม ข้อสงสัย หรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับภาวะสมองเสื่อม โปรดปรึกษาแพทย์
แหล่งข้อมูล : กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข