มะเร็งตับ ภัยเงียบใกล้ตัวคุณ
มะเร็งตับ ความรู้เบื้องต้นและการรักษาที่มีประสิทธิภาพ
มะเร็งตับเป็นโรคที่มีความสำคัญในด้านการแพทย์และสุขภาพ เนื่องจากเป็นหนึ่งในสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ทั่วโลก การทำความเข้าใจเกี่ยวกับมะเร็งตับ รวมถึงวิธีการรักษาและป้องกัน สามารถช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มคุณภาพชีวิตได้
มะเร็งตับ เป็นโรคมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 1 ในเพศชาย และอันดับ 3-5 ในเพศหญิง
เป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้มากที่สุดในโรคหนึ่ง เนื่องจากมะเร็งตับในระยะแรกมักไม่ค่อยมีอาการแสดง กว่าจะได้รับการวินิจฉัยครั้งแรกก็มักอยู่ในระยะท้ายของโรคแล้ว ผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งตับเมื่อรู้ตัวก็มักจะเสียชีวิตใน 3-6 เดือน มะเร็งตับเกิดขึ้นได้โดยแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่คือ
- เกิดขึ้นที่ตับโดยตรง
- เซลล์มะเร็งลุกลามมายังตับ
สาเหตุของมะเร็งที่เกิดขึ้นกับตับโดยตรง มักพบจากผู้ป่วยมีประวัติเป็นโรคไวรัสตับอักเสบบีหรือซี ตับอักเสบจากไขมันพอกตับ และดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก
ตามข้อมูลขององค์การอนามัยโลกในปี 2563 มะเร็งตับเป็นมะเร็งที่พบได้บ่อยที่สุดในคนไทย เป็นจำนวนมากถึง 27,394 ราย หรือคิดเป็น 14.4% ของโรคมะเร็งทั้งหมด ในจำนวนนี้ผู้ป่วย 26,704 รายเสียชีวิต ซึ่งคิดเป็น 21.4% ของผู้ป่วยที่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งทั้งหมด มะเร็งตับเป็นมะเร็งที่พบได้บ่อยที่สุดในชายไทย และพบมากเป็นอันดับ 4 ในผู้หญิงไทย การพยากรณ์โรคมะเร็งตับขึ้นอยู่กับระยะที่ตรวจพบ เมื่อเริ่มวินิจฉัย โดยทั่วไปแล้วอัตราการอยู่รอดที่ 5 ปีคือ 20% โดยผู้ที่มีระยะของโรคที่มีการแพร่กระจายของมะเร็งออกไปนอกตับแล้วจะมีโอกาสอยู่รอดที่ 3 เปอร์เซ็นต์ที่ 5 ปี ในขณะผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยในระยะที่โรคมีขนาดไม่ใหญ่ จะมีอัตราการอยู่รอดที่ 34% ที่ 5 ปี
มะเร็งตับคืออะไร?
มะเร็งตับเกิดจากการเจริญเติบโตที่ผิดปกติของเซลล์ในตับ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นหลายชนิด แต่ที่พบมากที่สุดคือมะเร็งตับชนิดเซลล์ตับ (Hepatocellular carcinoma หรือ HCC) ซึ่งมักเกิดในผู้ป่วยที่มีประวัติการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ หรือการดื่มแอลกอฮอล์อย่างต่อเนื่อง
สาเหตุการเกิดมะเร็งตับ
- ไวรัสตับอักเสบบี และซีสาเหตุสำคัญมาจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี และซีซึ่งจะกลายเป็นตับได้ จากสถิติพบว่า 80 % ของผู้ป่วยโรคมะเร็งตับเป็นพาหะไวรัสอักเสบบี และผู้ที่เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบ บี มีความเสี่ยงตับสูงกว่าคนปกติ 223 เท่า
- การดื่มแอลกอฮอล์ ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ มีความเสี่ยงเป็นมะเร็งตับสูงกว่าผู้ที่ไม่ดื่มแอลกอฮอล์
- อะฟลาท็อกซิน สารพิษชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดจากเชื้อรามักพบเจือปนอยู่ในอาหาร โดยเฉพาะ ถั่วลิสง ข้าวโพด พริกแห้ง กระเทียม เต้าหู้ยี้
- โรคอ้วนและเบาหวาน: การมีน้ำหนักเกินและภาวะเบาหวานเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับ
- พันธุกรรม: ประวัติครอบครัวมีบทบาทสำคัญในการเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งตับ
อาการของมะเร็งตับ
มะเร็งตับในระยะเริ่มแรกมักไม่มีอาการชัดเจน แต่เมื่อโรคพัฒนาไปสู่ระยะที่รุนแรงขึ้น อาการอาจประกอบด้วย:
- ปวดท้องหรือท้องบวม
- น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว
- อ่อนเพลียและเหนื่อยล้า
- ตัวเหลืองและตาเหลือง (ดีซ่าน)
การตรวจหามะเร็งตับ
เนื่องจากมะเร็งตับเปรียบเสมือนมฤตยูเงียบ การเฝ้าระวังจึงเป็นวีธีที่ดีที่สุด โดยการตรวจร่างกาย การตรวจเลือดดูการทำงานของตับ ไวรัสตับอักเสบและสารบ่งชี้มะเร็งตับ (Alpha-fetoprotein) การตรวจอัลตร้าซาวด์การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT SCAN) การตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) การตัดชิ้นเนื้อตรวจทางพยาธิวิทยา การตรวจไฟโบรสแกน (FIBRO SCAN) เจาะเลือด การตรวจตับด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (US) การตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT)
การรักษามะเร็งตับ
การรักษามะเร็งตับขึ้นอยู่กับระยะของโรค สุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย และความเหมาะสมของวิธีการรักษา
- การผ่าตัด
- การรักษาก้อนเนื้อของตับ (TOCE)
- การเปลี่ยนตับ
- การฉายรังสี
การผ่าตัดตับ
การผ่าตัดตับเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสำหรับผู้ป่วยที่มีมะเร็งตับในระยะเริ่มต้น การผ่าตัดนี้สามารถแบ่งออกเป็นสองประเภท:
- การผ่าตัด ตัดชิ้นเนื้อบางส่วน: ตัดเฉพาะส่วนที่มีมะเร็งออก
- การปลูกถ่ายตับ: สำหรับผู้ป่วยที่มีตับแข็งขั้นรุนแรง
การรักษาด้วยยารักษามะเร็ง
- ยาต้านไวรัส: ใช้สำหรับผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ
- ยาเคมีบำบัด: ช่วยลดการเติบโตของเซลล์มะเร็ง
- ยากดภูมิคุ้มกัน: สำหรับผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายตับ
การบำบัดด้วยรังสี
การบำบัดด้วยรังสีเป็นวิธีที่ใช้เพื่อทำลายเซลล์มะเร็งหรือหยุดการเติบโตของมะเร็ง การใช้เทคนิคนี้มีความแม่นยำสูงและสามารถลดความเสียหายต่อเนื้อเยื่อที่ดีได้
การรักษามะเร็งด้วยเข็มความร้อน (RFA)
เป็นวิธีการทำลายก้อนมะเร็งด้วยการใช้เข็มแบบพิเศษ (RF Needle) ขนาดเท่ากับไส้ปากกาลูกลื่น ความยาวประมาณ 15 ซม. แทงผ่านผิวหนังเข้าไปในก้อนมะเร็งเป้าหมาย โดยใช้หลักการเหนี่ยวนำไฟฟ้า จากเครื่องทำให้เกิดคลื่นความถี่สูงและทำให้โมเลกุลของเนื้อเยื่อรอบ ๆ เข็มสั่นสะเทือนและเสียดสีกันจนเกิดความร้อน (Friction Heat) ซึ่งจะแผ่กระจายออกไปรอบ ๆ จนครอบคลุมก้อนมะเร็งทั้งก้อน และสามารถทำให้เซลล์ตายได้
การดูแลหลังการรักษา
การดูแลหลังการรักษามีความสำคัญในการป้องกันการกลับมาของมะเร็งตับ รวมถึง:
- การติดตามผลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ
- การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต: เช่น ลดการดื่มแอลกอฮอล์ หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และการควบคุมน้ำหนัก
- การรับประทานอาหารที่สมดุล: เน้นการบริโภคผัก ผลไม้ และโปรตีนที่ดีต่อสุขภาพ
การป้องกันมะเร็งตับ
การป้องกันมะเร็งตับสามารถทำได้โดยการลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เช่น:
การฉีดวัคซีน
การฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งตับ
การควบคุมการดื่มแอลกอฮอล์
การลดหรือหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์สามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับและโรคตับแข็ง
การตรวจสุขภาพประจำปี
การตรวจสุขภาพเป็นประจำช่วยในการตรวจพบโรคตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งทำให้การรักษาได้ผลดียิ่งขึ้น
สรุป
มะเร็งตับเป็นโรคที่มีความซับซ้อนและต้องการการดูแลที่ครอบคลุม การเข้าใจถึงปัจจัยเสี่ยง อาการ วิธีการวินิจฉัย และการรักษาที่มีอยู่จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถรับมือกับโรคนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การป้องกันและดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอจะเป็นกุญแจสำคัญในการลดความเสี่ยงและเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับ
มะเร็งตับ เป็นโรคร้ายแรงแต่สามารถจัดการได้
หากได้รับการดูแลและรักษาอย่างเหมาะสมจากทีมแพทย์และการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตของผู้ป่วยเอง
แหล่งข้อมูล
- สมาคมโรคตับแห่งประเทศไทย
- กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
- องค์การอนามัยโลก (WHO)
ศูนย์การรักษาที่เกี่ยวข้อง
ศูนย์โรคทางเดินอาหารและตับ
สถานที่
อาคาร 4 ชั้น 2
เวลาทำการ
08:00 - 17:00 น.
เบอร์ติดต่อ
055-90-9000 ต่อ 520301, 520302, 520303